THAI CLIMATE JUSTICE for All

ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศคืออะไร? (ตอนที่ 2)

เผยแพร่โดย The Solutions Project
วันที่ 21 มิถุนายน 2024
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง Environmental & Climate Justice Issues

จุดกำเนิดของการรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ

การรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเกิดมาจากการรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม มนุษย์เริ่มพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงทศวรรษ 1980 โดยที่ยังไม่มีความเข้าใจ ผลกระทบ และความเร่งด่วนของปัญหามากนัก เราพยายามจะแก้ไขปัญหาปรากฏการณ์เรือนกระจก แต่ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ไม่มีใครทราบว่าจุดเริ่มต้นที่แน่ชัดของการรณรงค์ด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศอยู่ตรงไหนกันแน่ แต่จุดเปลี่ยนที่เห็นได้ชัดเกิดขึ้นในปี 2000 เมื่อเครือข่าย Rising Tide จัดการประชุมสุดยอดความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในระดับนานาชาติขึ้นเป็นครั้งแรก โดยตั้งใจที่จะจัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับ COP6 ของสหประชาชาติ

อย่างไรก็ตาม COP6 กลับถูกครอบงำโดยสมาชิกประเทศพัฒนาแล้วที่พยายามหา “แนวทางแก้ปัญหา” ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา แม้ว่าการประชุมสุดยอดความเป็นธรรมทางภูมิอากาศคือโอกาสสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในซีกโลกใต้ที่จะเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่ได้ผลสำหรับประเทศของตนเช่นเดียวกับการประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ ที่จะตามมา

สิบกว่าปีที่ผ่านมา นักวิชาการและสื่อมวลชนได้คิดคำศัพท์ต่าง ๆ มาใช้เรียกภาวะเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมโลกจากการกระทำของมนุษย์ว่า “global warming” บ้าง “climate change” บ้าง หรือ “climate crisis” คำที่ใช้ทดแทนกันได้เหล่านี้ใช้อ้างอิงถึงปรากฎการณ์ที่อุณหภูมิผิวโลกเพิ่มสูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และทำให้ประชาชนต้องอพยพละทิ้งถิ่นฐานเดิม

ในปี 2005 ความล่าช้าในการรับมือกับพายุเฮอริเคน Katrina โดยรัฐบาลสหรัฐฯทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชุมชน ตามมาด้วยการเผยแพร่ภาพยนต์สารคดี An Inconvenient Truth ในปี 2006 ทำให้ประชาชนอเมริกันเริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อชุมชนเปราะบาง ความรับรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนเริ่มขยายตัวออกไปในวงกว้างทีละเล็กละน้อยในเวลาเดียวกับที่ภัยธรรมชาติเกิดบ่อยครั้งขึ้นและรุนแรงขึ้น เริ่มเกิดมีผู้นำการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนในระดับรากหญ้า แต่พวกเขาก็ต้องการการสนับสนุนสำหรับแนวทางแก้ปัญหาที่พวกเขาออกแบบขึ้นมาเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย

หนึ่งในการรณรงค์โดยชนชั้นรากหญ้าที่เริ่มในยุโรปแผ่อิทธิพลทางความคิดเข้ามาในสหรัฐอเมริกาในปี 2019 เป็นการรณรงค์ที่เริ่มจุดประกายขึ้นโดยเด็กคนหนึ่งที่ชื่อ Greta Thunberg

Greta Thunberg ขาดเรียนในวันศุกร์หนึ่งเพื่อไปนั่งที่เชิงบันไดอาคารรัฐสภาสวีเดนเพียงลำพังคนเดียวเพื่อประท้วงต่อการที่เธอเห็นว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลยเพื่อแก้ไขวิกฤติโลกร้อน ต่อมาก็มีเด็กนักเรียนเข้าร่วมประท้วงกับเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนโรงเรียนต้องหยุดทำการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนที่เหลือมาร่วมประท้วง ต่อมาจึงมีการประท้วงเป็นประจำในทุก ๆ วันศุกร์ และวันนี้ก็กลายเป็นที่จดจำในฐานะที่เป็น Fridays for Future Movement

เป้าหมายการประท้วงคือเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญแก่ความเท่าเทียมและเป็นธรรมทางภูมิอากาศและใช้หลักวิทยาศาสตร์เพื่อลดอุณหภูมิผิวโลกลงให้กลับไปเท่ากับอุณหภูมิในยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม องค์กรที่นำโดยคนรุ่นใหม่นี้เป็นการรณรงค์เคลื่อนไหวด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดองค์กรในระดับรากหญ้าตามมาอีกมากมายจนปัจจุบัน

ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ: ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน

หลักสิทธิมนุษยชนให้การปกป้องทางกฎหมายที่เท่าเทียมต่อคนทุกคนไม่ว่าจะมีพื้นเพหรือเชื้อชาติใด และเนื่องจากภาวะโลกร้อนได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากเป็นชนกลุ่มเปราะบาง ดังนั้น ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศจึงเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน

ไม่ว่าจะเป็นชนผิวดำหรือน้ำตาล สตรี และชนพื้นเมือง ต่างก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติสิ่งแวดล้อมนี้โดยถ้วนหน้า พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เผชิญกับผลกระทบก่อนใครเพื่อน และอุปสรรคเชิงโครงสร้างก็ทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้น ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศที่ชุมชนได้รับ

กรณีของเฮอริเคน Katrina ในปี 2005

ชายฝั่ง Gulf Coast ของสหรัฐอเมริกาเป็นเส้นทางผ่านของเฮอริเคนโดยธรรมชาติ แต่ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ผลจากการทำลายล้างของเฮอริเคน Katrina ทำให้คนอเมริกันได้เห็นความรุนแรงของเฮอริเคนสมัยใหม่เป็นครั้งแรกและเห็นพ้องกันว่าจะต้องมีมาตรการใหม่ ๆ มาป้องกันและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้น

เฮอริเคน Katrina เป็นเฮอริเคนระดับ 5 ที่คร่าชีวิตคนไปกว่า 1,000 รายที่อาศัยอยู่ในเขต Gulf Coast ในเมือง New Orleans รัฐ Louisiana สื่อมวลชนลงข่าวที่เต็มไปด้วยภาพของคนผิวดำชาว New Orleans นั่งอยู่บนหลังคาบ้านที่ถูกน้ำท่วมรอความช่วยเหลือ

ผลสำรวจทั่วประเทศหลังพายุผ่านพ้นไปพบว่าคนอเมริกันผิวดำร้อยละ 66 รู้สึกว่ารัฐบาลกลางสามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้เร็วกว่านี้ “ถ้าหากว่าผู้ได้รับผลกระทบเป็นคนผิวขาว” แน่นอนว่าหลังภัยพิบัติครั้งนี้ จำนวนประชากรผิวดำของเมือง New Orleans นั้นลดลง ตั้งแต่เหตุการณ์เฮอริเคน Katrina เป็นต้นมา ฤดูเฮอริเคนของสหรัฐอเมริกาเกิดบ่อยครั้งขึ้นและรุนแรงขึ้น จากบทเรียนที่ได้จากเฮอริเคน Katrina ทำให้เทศบาลเมือง New Orleans ต้องลุกขึ้นมาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันที่อาจเกิดขึ้นอีก ในขณะที่ชนกลุ่มเปราะบางของเมืองยังคงได้รับผลกระทบจากเฮอริเคนลูกต่อ ๆ มาหลังจากนั้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง

Scroll to Top