THAI CLIMATE JUSTICE for All

การวิเคราะห์เชิงลึกแนวคิด “The End of History” ของ Francis Fukuyama ในบริบทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

1. แนวคิด “The End of History” คืออะไร

ฟรานซิส ฟูกุยาม่า (Francis Fukuyama) ได้นำเสนอแนวคิด “The End of History” ในช่วงปลายสงครามเย็น โดยเขาเชื่อว่าเสรีประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยมเป็นรูปแบบระบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์ได้ดีที่สุด ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและอุดมการณ์ ฟูกุยาม่ามองว่านี่คือ จุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการทางการเมือง และไม่มีระบบการเมืองหรือเศรษฐกิจอื่นที่จะเข้ามาแทนที่ได้

เขายกตัวอย่างความล่มสลายของคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออกเป็นหลักฐานของความล้มเหลวของระบบอื่น ๆ ที่พยายามจะแข่งขันกับเสรีประชาธิปไตย แนวคิดนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงเวลานั้น

แต่เมื่อเวลาผ่านไปและโลกเผชิญกับปัญหาใหม่ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อจำกัดของแนวคิดนี้ก็เริ่มปรากฏชัดขึ้น

2. ข้อจำกัดของ “The End of History” ในการอธิบายวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

2.1 ทุนนิยม: ระบบที่ไม่สอดคล้องกับขีดจำกัดทางสิ่งแวดล้อม

ฟูกุยาม่าเชื่อว่าทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดสำคัญ:

ตัวอย่าง: บริษัทข้ามชาติ เช่น ExxonMobil และ Shell เป็นตัวอย่างของการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมาหลายทศวรรษ แต่ก็เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญที่สุดเช่นกัน

ข้อมูลจาก Carbon Majors Report (2017) ชี้ว่าเพียง 100 บริษัท มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อย CO2 ถึง 71% ของโลก

ทุนนิยมมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่จำกัด ซึ่งขัดแย้งกับขีดจำกัดของระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติ

2.2 เสรีประชาธิปไตย: ระบบที่ล้มเหลวในการจัดการวิกฤตระยะยาว

เสรีประชาธิปไตยมีข้อจำกัดในการแก้ไขปัญหาระยะยาว เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากนักการเมืองต้องตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระยะสั้น

ตัวอย่าง: การถอนตัวของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ จากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) แสดงให้เห็นถึงการเมืองภายในประเทศที่ขัดขวางความร่วมมือระดับโลก

การที่ประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ยังคงส่งเสริมการทำเหมืองถ่านหิน แม้จะตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

2.3 ความไม่เท่าเทียม: ระบบที่ไม่ยุติธรรมต่อประเทศกำลังพัฒนา

เสรีประชาธิปไตยและทุนนิยมส่งเสริมประเทศพัฒนาแล้วในฐานะผู้บริโภคทรัพยากรหลัก แต่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลับตกอยู่กับประเทศกำลังพัฒนา

ตัวอย่าง: ประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก เช่น ตูวาลู (Tuvalu) และมัลดีฟส์ กำลังเผชิญกับภาวะน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างรุนแรง แม้ว่าประเทศเหล่านี้มีส่วนร่วมในการปล่อยมลพิษน้อยมาก

ประเทศแอฟริกา เช่น โซมาเลีย เผชิญกับภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

2.4 ประวัติศาสตร์ยังคงเคลื่อนไหว

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าประวัติศาสตร์ยังคงดำเนินต่อไป เพราะมันสร้างความท้าทายใหม่ที่ระบบการเมืองและเศรษฐกิจปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขได้

ตัวอย่าง: ขบวนการระดับโลก เช่น Fridays for Future ที่นำโดยเกรตา ธันเบิร์ก (Greta Thunberg) กำลังสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบาย

3. การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น

3.1 ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจแบบลดการเติบโต (Degrowth) อาจเป็นทางเลือกใหม่

ตัวอย่าง: ประเทศเนเธอร์แลนด์พยายามผลักดันแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมุ่งลดการใช้ทรัพยากรใหม่และส่งเสริมการรีไซเคิล

เมืองบาร์เซโลนา เริ่มนำนโยบาย “superblocks” มาใช้เพื่อส่งเสริมการใช้พื้นที่สาธารณะและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

3.2 ระบบความร่วมมือข้ามชาติที่เข้มแข็งขึ้น

การแก้ปัญหาโลกร้อนต้องการความร่วมมือข้ามชาติที่ลึกซึ้งกว่าปัจจุบัน เช่น การสร้างกลไกการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาให้เข้าถึงเทคโนโลยีและเงินทุน

ตัวอย่าง: Green Climate Fund (GCF) ซึ่งตั้งขึ้นโดย UN เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังคงเผชิญความล่าช้าและข้อจำกัดทางการเงิน

3.3 การเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์

ความนิยมในแนวคิดที่เน้นความยั่งยืน เช่น การให้ความสำคัญกับธรรมชาติและลดการบริโภค อาจนำไปสู่การปฏิรูปทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ตัวอย่าง: ประเทศภูฏานมุ่งเน้นการวัดผลความสุขประชาชาติ (Gross National Happiness – GNH) แทนการมุ่งเน้น GDP เพียงอย่างเดียว

4. บทสรุป: ประวัติศาสตร์ยังไม่สิ้นสุด

วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้พิสูจน์ว่า ประวัติศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจของมนุษย์ยังคงดำเนินต่อไป และระบบในปัจจุบันยังไม่สามารถตอบสนองความท้าทายใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากอุดมการณ์การเมืองแบบเดิม แต่เกิดจาก ภัยคุกคามสิ่งแวดล้อม ที่บีบบังคับให้มนุษยชาติต้องสร้างระบบใหม่ที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น

ประวัติศาสตร์ยังไม่สิ้นสุด และในอนาคตเราอาจได้เห็น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่เกิดจากการรวมพลังของมนุษย์ในการรับมือกับวิกฤตโลกร้อน ซึ่งจะกำหนดทิศทางของโลกในศตวรรษที่ 21 และหลังจากนั้น.

Scroll to Top