THAI CLIMATE JUSTICE for All

“ถ้าโลกไม่มีมนุษย์ โลกจะเป็นอย่างไร?”: แนวคิดใหม่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

ในยุคที่มนุษย์เผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งภาวะโลกร้อน การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ คำถามสำคัญที่นักคิด นักวิชาการ และนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพยายามตอบคือ “เราจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติได้อย่างไร?”

หนังสือและแนวคิดก้าวหน้า เช่น “Braiding Sweetgrass”, “Sand Talk”, และ “A Billion Black Anthropocenes or None” ได้เสนอให้เรามองโลกในแบบใหม่ ลดความเป็นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และฟื้นฟูความสัมพันธ์เชิงจริยธรรมกับธรรมชาติ

แต่คำถามที่ลึกกว่านั้นคือ “ถ้าโลกไม่มีมนุษย์ โลกจะเป็นอย่างไร?”

1. การเลิกมองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง: แนวคิด De-Anthropocentrism

  • แนวคิด Anthropocentrism หรือการมองมนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เป็นรากเหง้าของปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน เพราะมันทำให้มนุษย์มองธรรมชาติเป็นเพียง ทรัพยากรที่ต้องใช้ มากกว่าจะมองว่าเป็น เครือข่ายของสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงกัน
  • แนวคิดที่ก้าวหน้ากว่านั้นคือ De-Anthropocentrism หรือการเลิกมองมนุษย์เป็นศูนย์กลางโดยสิ้นเชิง
  • นักคิดเช่น Timothy Morton เสนอว่า ทุกสิ่งในโลกนี้เชื่อมโยงกันในรูปแบบของ Hyperobjects ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือระบบนิเวศของป่าไม้
  • ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ งานวิจัยของ Eduardo Kohn ใน “How Forests Think” ซึ่งเสนอว่า ป่าไม้มีความคิดและสื่อสารกันได้ ผ่านรากและเครือข่ายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้พื้นดิน
  • สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ไม่ใช่ผู้ควบคุมธรรมชาติ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครือข่ายชีวิตที่ซับซ้อน และเราควรเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของธรรมชาติ แทนที่จะพยายามควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงมัน

2. การเลิกเวลาเชิงเส้น: แนวคิด Non-Linear Time

  • มนุษย์ในยุคปัจจุบันถูกจำกัดด้วย เวลาเชิงเส้น (Linear Time) ที่มองว่ามีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และเราต้องเร่งหาทางแก้ไขปัญหาเพื่ออนาคต
  • แต่ในวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง เช่น ชนเผ่าอะบอริจินของออสเตรเลีย เวลาถูกมองว่าเป็นวงจรที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด ทุกสิ่งเชื่อมโยงกันในเครือข่ายที่หมุนเวียน
  • แนวคิดนี้ท้าทายความเชื่อที่ว่ามนุษย์สามารถควบคุมอนาคตได้ และเสนอให้เรา อยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ในเครือข่ายความสัมพันธ์ที่หมุนเวียน
  • ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ การเกษตรแบบหมุนเวียน ที่ไม่ทำลายดินหรือแหล่งน้ำ แต่ให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัวและหมุนเวียนทรัพยากรอย่างสมดุล

3. ปัญญาของโลกที่ไม่มีมนุษย์: แนวคิด Post-Human Intelligence

  • ถ้าโลกไม่มีมนุษย์แล้วโลกจะเป็นอย่างไร? นักคิดบางคนเชื่อว่า ปัญญาของโลกยังคงอยู่ต่อไปโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์
  • James Lovelock ผู้เสนอแนวคิด Gaia Hypothesis ชี้ว่า โลกคือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาของตัวเอง และสามารถปรับตัวเพื่อรักษาสมดุลได้ แม้ว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์ไป

ตัวอย่างเช่น

  • ในช่วงที่มนุษย์ลดกิจกรรมระหว่างการระบาดของโควิด-19 ธรรมชาติสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
  • แม่น้ำสะอาดขึ้น สัตว์ป่าออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่ที่เคยถูกมนุษย์ยึดครอง
  • สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ธรรมชาติมีความสามารถในการฟื้นตัวและสร้างสมดุลใหม่ได้โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์

4. ข้อวิพากษ์ต่อแนวคิดเหล่านี้

แม้แนวคิดเหล่านี้จะดูท้าทายและลึกซึ้ง แต่ก็มีข้อวิพากษ์ที่สำคัญ

1. แนวคิดเหล่านี้อาจเป็นเพียงเชิงปรัชญา แต่ยังขาดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า จะนำแนวคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ในโลกจริงได้อย่างไร?

2. มนุษย์ยังคงต้องเผชิญกับความจริงของระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลก

แม้เราจะลดบทบาทของมนุษย์ลงในทางปรัชญา แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มนุษย์ยังคงเป็นผู้สร้างและแก้ไขกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง

บทสรุป: การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ หรือการยอมรับว่าธรรมชาติจะอยู่ต่อไปโดยไม่มีเรา?

  • สิ่งที่น่าสนใจที่สุดจากแนวคิดเหล่านี้คือ มนุษย์อาจไม่ใช่ผู้แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ธรรมชาติสามารถฟื้นตัวได้เอง
  • คำถามที่สำคัญจึงเปลี่ยนจาก “เราจะช่วยธรรมชาติได้อย่างไร?” เป็น “เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างไร โดยไม่ทำลายมัน?”
  • หรืออาจลึกไปกว่านั้นว่า “ถ้ามนุษย์ไม่อยู่ โลกจะดีขึ้นหรือไม่?”

การตั้งคำถามเหล่านี้ไม่ได้มุ่งหวังให้เรายอมแพ้ต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการท้าทายให้เราคิดลึกลงไปถึง รากของปัญหา และ เปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ว่ามนุษย์และธรรมชาติจะอยู่ร่วมกันในโลกที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างไร

และบางที คำตอบที่แท้จริงอาจไม่ใช่การแก้ไข แต่คือการปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้ดูแลตัวเอง

Scroll to Top