
บทนำ: ข้อถกเถียงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์พลเมืองและขอบเขตขององค์ความรู้
แนวคิด วิทยาศาสตร์พลเมือง (Citizen Science) ได้รับการยกย่องว่าเป็นแนวทางที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทว่าหลายฝ่ายตั้งคำถามว่าแนวคิดนี้เปิดพื้นที่ให้กับองค์ความรู้ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ตะวันตกอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการขยายขอบเขตของวิทยาศาสตร์กระแสหลักไปสู่การดึงทรัพยากรความรู้จากชุมชนโดยไม่ให้คุณค่ากับระบบความรู้ของพวกเขา (Irwin, 1995; Wynne, 2007)
เพื่อวิเคราะห์ประเด็นนี้อย่างรอบด้าน จำเป็นต้องพิจารณาข้อถกเถียงสำคัญที่เกิดขึ้น รวมถึงประสบการณ์ของนักวิจัยและชุมชนที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์พลเมืองที่ให้ภาพของความร่วมมือที่เป็นธรรมและการครอบงำทางความรู้
ข้อถกเถียงหลักเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์พลเมืองและภูมิปัญญาท้องถิ่น
1. วิทยาศาสตร์พลเมืองเป็นการกระจายอำนาจทางความรู้ หรือเป็นเพียงการขยายขอบเขตของวิทยาศาสตร์ตะวันตก?
ข้อสนับสนุน:
- วิทยาศาสตร์พลเมืองเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และมีบทบาทในกระบวนการสร้างองค์ความรู้ (Bonney et al., 2009)
- ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงและเข้าใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น ลดช่องว่างระหว่าง “ผู้เชี่ยวชาญ” และ “คนทั่วไป” (Haklay, 2013)
ข้อวิพากษ์:
- แม้ว่าประชาชนจะเข้ามามีบทบาทในการเก็บข้อมูล แต่องค์กรวิจัยหลักยังเป็นผู้ควบคุมการกำหนดปัญหาและตีความผลลัพธ์ (Jasanoff, 2004)
- แนวทางที่ใช้มักอิงอยู่กับกรอบคิดของวิทยาศาสตร์ตะวันตก โดยที่องค์ความรู้แบบอื่น เช่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น มักถูกละเลย หรือใช้เพียงเป็นเครื่องมือเสริม (Smith, 1999)
2. องค์ความรู้ที่ไม่ได้เป็น “วิทยาศาสตร์ตะวันตก” ถูกมองว่าเป็นองค์ความรู้ที่ถูกต้องหรือไม่?
ข้อสนับสนุน:
- มีความพยายามบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การใช้ข้อมูลจากผู้สูงอายุในชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อศึกษาสภาพแวดล้อม (Whyte, 2017)
- งานวิจัยบางชิ้นเริ่มยอมรับว่าแนวทางการศึกษาแบบ Indigenous Knowledge สามารถนำมาผสมผสานกับวิทยาศาสตร์ตะวันตกได้ (Nadasdy, 1999)
ข้อวิพากษ์:
- วิทยาศาสตร์พลเมืองยังคงใช้กรอบการตรวจสอบเชิงปริมาณและความสามารถในการทดลองซ้ำเป็นหลัก ทำให้องค์ความรู้ที่มีลักษณะเชิงคุณภาพ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับระบบนิเวศ หรือความรู้ที่ส่งต่อกันผ่านวัฒนธรรม มักถูกละเลย (Agrawal, 1995)
- องค์ความรู้ของชนพื้นเมืองมักถูกใช้เป็น “ข้อมูลเสริม” มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นองค์ความรู้ที่มีคุณค่าในตัวเอง (Smith, 2012)
3. วิทยาศาสตร์พลเมืองให้โอกาสที่เป็นธรรมแก่ชุมชนท้องถิ่นจริงหรือไม่?
ข้อสนับสนุน:
หลายโครงการพยายามให้ชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวิจัยอย่างแท้จริง เช่น การให้พวกเขาร่วมออกแบบวิธีการศึกษาหรือกำหนดโจทย์วิจัย (Chilisa, 2017)
ข้อวิพากษ์:
- การมีส่วนร่วมของชุมชนมักเป็นเพียงระดับ “การเก็บข้อมูล” โดยที่อำนาจในการตีความยังอยู่กับนักวิทยาศาสตร์ (Simpson, 2001)
- บางโครงการใช้ข้อมูลจากชุมชนโดยไม่มีการคืนผลประโยชน์หรือให้เครดิตอย่างเป็นธรรม (Tuck, 2009)
4. แนวทางที่เป็นธรรม: วิทยาศาสตร์พลเมืองที่เคารพต่อความรู้ท้องถิ่น
การออกแบบวิจัยร่วมกัน (Participatory Research Design) ให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทตั้งแต่การกำหนดปัญหาวิจัย ไม่ใช่เพียงเป็นผู้เก็บข้อมูล (Cornwall & Jewkes, 1995)
การยอมรับแนวคิด “Two-Eyed Seeing” ให้วิทยาศาสตร์ตะวันตกและภูมิปัญญาท้องถิ่นทำงานร่วมกัน โดยแต่ละแนวคิดมีสถานะที่เท่าเทียมกัน (Bartlett et al., 2012)
การให้เครดิตและผลประโยชน์แก่ชุมชน ข้อมูลจากชุมชนควรถูกนำไปใช้โดยให้เครดิตที่เป็นธรรม และมีการคืนผลลัพธ์กลับไปยังชุมชน (Kovach, 2009)
การสร้างมาตรฐานวิทยาศาสตร์ที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง ยอมรับว่าวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็นต้องวัดผลได้เสมอไป แต่อาจต้องเปิดพื้นที่ให้แนวคิดที่แตกต่าง (Smith, 2012)
บทสรุป: วิทยาศาสตร์พลเมืองต้องปรับตัวให้เป็นประชาธิปไตยทางความรู้อย่างแท้จริง
- แม้ว่าจะเป็นแนวคิดที่ดี แต่ Citizen Science ยังต้องปรับปรุงให้เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างอย่างแท้จริงต่อระบบความรู้ที่หลากหลาย การบูรณาการความรู้ไม่ควรเป็นเพียงการใช้ข้อมูลจากชุมชนโดยไม่ให้พวกเขามีบทบาทในการกำหนดความหมายของมัน (Escobar, 1995)
- หากต้องการให้วิทยาศาสตร์พลเมืองเป็นกระบวนการที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง เราต้องยอมรับว่า ความรู้มีหลากหลายรูปแบบ และไม่มีระบบใดควรครอบงำอีกระบบหนึ่ง
เอกสารอ้างอิง
Agrawal, A. (1995). “Dismantling the Divide Between Indigenous and Scientific Knowledge.” Development and Change, 26(3), 413-439.
Bartlett, C., Marshall, M., & Marshall, A. (2012). “Two-Eyed Seeing and Other Lessons Learned Within a Co-Learning Journey of Bringing Together Indigenous and Mainstream Knowledges.” Journal of Environmental Studies and Sciences, 2(4), 331-340.
Bonney, R., et al. (2009). “Citizen Science: A Developing Tool for Expanding Science Knowledge and Scientific Literacy.” BioScience, 59(11), 977-984.
Jasanoff, S. (2004). States of Knowledge: The Co-Production of Science and the Social Order. London: Routledge.
Whyte, K. (2017). “Indigenous Climate Justice and Food Sovereignty.” Human Ecology, 45(2), 167-175.