
เขียนโดย Nik Popli
วันที่ 21 มกราคม 2025
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง What Happened the Last Time Trump Withdrew From the Paris Agreement
เช้าวันแรกที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศรูปไข่ สิ่งแรกที่เขาทำคือลงนามในคำสั่งให้สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากความตกลงปารีสที่เป็นความตกลงร่วมกันระหว่างประเทศที่จะรักษาระดับอุณหภูมิผิวโลกมิให้สูงขึ้นอีกเกิน 2°C ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในสามประเทศในโลกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ความตกลงปารีส ร่วมกับประเทศนิการากัวและประเทศซีเรีย เนื่องจากนิการากัวไม่ต้องการรับภาระหน้าที่การช่วยลดอุณหภูมิโลกและมองว่าเป็นหน้าที่ของประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนประเทศซีเรียที่ยังอยู่ในภาวะสงครามขณะที่มีการทำความตกลงปารีส
เป็นครั้งที่สองที่ทรัมป์พยายามถอนตัวจากความตกลงปารีสนับตั้งแต่ความพยายามครั้งแรกที่เกิดขึ้นในช่วงท้าย ๆ ของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯของทรัมป์สมัยแรกในปี 2017 ซึ่งทำให้สหรัฐฯออกจากความตกลงปารีสเพียง 4 เดือนจนกระทั่งไบเด็นได้เข้ามาดำรงตำแหน่งและออกคำสั่งให้สหรัฐฯกลับเข้าสู่ความตกลงปารีสในปี 2021
ผลกระทบจากการที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากความตกลงปารีสในช่วงเวลาเพียง 4 เดือนนั้นลึกซึ้งมาก ไม่เพียงแต่ละทำให้กระบวนการทางการทูตด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติชะงักงัน แต่ยังทำให้สหรัฐฯเองเสียเครดิตในเวทีโลกเพราะทำให้โลกเห็นถึงความคาดเดาไม่ได้และสละตำแหน่งผู้นำด้านการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนในช่วงเวลาที่สำคัญ และทำให้กระแสเงินทุนสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกและการตั้งรับปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนในประเทศกำลังพัฒนาขาดตอน
อย่างไรก็ตาม การกระทำในครั้งนี้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจนัก เพราะทรัมป์ได้พูดถึงการนำประเทศออกจากความตกลงปารีสที่เขามองว่า “ก่อให้เกิดภาระไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ ในขณะที่ปล่อยให้ประเทศอย่างจีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ต่อไป” มาตลอดการเลือกตั้ง
เป็นที่คาดกันว่า ผลกระทบจากการที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากความตกลงปารีสครั้งที่สองนี้จะคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งแรก นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมกังวลว่าสหรัฐฯจะเป็นตัวอย่างทำให้ชาติอื่น ๆ พลอยไม่ปฏิบัติตามหรือถอนตัวจากความตกลงปารีสไปด้วย และเรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์ “ต้องพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดต่อไป” นาง Gina McCarthy ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมของทำเนียบขาวในสมัยของนายไบเด็นกล่าว “อเมริกาจะต้องเป็นผู้นำและตัวอย่างที่ดีให้แก่นานาประเทศถ้าเราต้องการมีสิทธิมีเสียงในการกำหนดนโยบายในระดับนานาชาติและการลงทุนนับล้านล้านดอลล่าร์เพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน”
ต่อไปนี้เป็นผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากความตกลงปารีส
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม
เมื่อครั้งที่ทรัมป์ถอนตัวจากความตกลงปารีสเป็นเวลา 4 เดือนในช่วงท้ายของการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกในปี 2017 ทั่วโลกเกิดความปั่นป่วนทันที ในเวลานั้นมีประเทศจำนวนเกือบ 200 ประเทศที่ผูกพันข้อตกลงลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้ความตกลงปารีสที่ลงนามกันในปี 2015 เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิผิวโลกมิให้สูงขึ้นอีกเกิน 2°C หรือ 1.5°C แต่เมื่อสหรัฐฯถอนตัว จุดยืนของสหรัฐฯในเวทีเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประชาคมโลกจึงอ่อนลงทันทีเพราะความเอาแน่เอานอนไม่ได้
และเมื่อไม่มีสหรัฐฯภายใต้ความตกลงปารีสแล้ว ประเทศอื่น ๆ อย่างจีน อินเดีย และสหภาพยุโรปก็จะเริ่มอ้างสิทธิของตนในเวทีเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนที่จะต้องแบกรับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ต้องลดจากสหรัฐอเมริกาและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานแทน แม้ว่าจีนจะเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุด แต่ก็บรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศในปี 2024 เร็วกว่าที่กำหนดไว้ถึง 6 ปี เมื่อจีนหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลมมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก
นอกจากนี้ การถอนตัวของสหรัฐฯยังบ่อนทำลายความเป็นพันธมิตรที่สำคัญกับชาติอื่น ๆ ที่ได้กำหนดเป้าหมายด้านโลกร้อนไว้เสียสูง อย่างเช่นเมื่อทรัมป์ถอนตัวจากความตกลงปารีสครั้งแรกเมื่อปี 2017 ทำให้หลายประเทศตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯในเวทีแก้ปัญหาโลกร้อน
ผลกระทบต่อการสนับสนุนด้านทุนแก่ประเทศโลกที่สาม
ผลกระทบที่สำคัญที่สุดของการถอนตัวได้แก่การสนับสนุนด้านทุนแก่ประเทศโลกที่สามที่จะหยุดยั้งลง รัฐบาลสหรัฐฯสมัยประธานาธิบดีโอบาม่าเคยเพิ่มทุนเข้าไปใน Green Climate Fund (GCF) ที่ช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาลดก๊าซเรือนกระจกและตั้งรับปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน แต่เมื่อสหรัฐฯถอนตัว งบประมาณชุดนี้ได้ถูกตัดทันที ทำให้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกและตั้งรับปรับตัวในประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังดำเนินการอยู่หยุดชะงักลง โครงการส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนถ่ายสู่พลังงานสะอาด ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรับภัยธรรมชาติ และสนับสนุนชุมชนให้ปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน ซึ่งสหรัฐอเมริกาเคยให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนทุนจำนวน 3 พันล้านดอลล่าร์ ความชะงักงันด้านทุนนี้ทำให้กระบวนการลดก๊าซเรือนกระจกและตั้งรับปรับตัวทั่วโลกชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกลุ่มเปราะบางต่อภาวะโลกร้อน
ประเทศที่ต้องพึ่งพาทุนเหล่านี้เช่นประเทศหมู่เกาะและประเทศในทวีปอาฟริกาแสดงความผิดหวังต่อสหรับอเมริกาที่ไม่รักษาคำมั่นต่อความตกลงปารีส “การรักษาระดับอุณหภูมิผิวโลกมิให้สูงขึ้นอีกเกิน 1.5°C คือเรื่องของความเป็นความตายของเรา” Ethiopia’s top climate official นาย Debasu Bayleyegn Eyasu เจ้าหน้าที่ชาวเอธิโอเปียซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน Climate Vulnerable Forum (CVF) ซึ่งเป็นองค์กรกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่รับความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนมากที่สุด กล่าวในงาน Climate Talks ที่เยอรมนีในเดือนพฤษภาคม 2017 “สำหรับพวกเราทุกคนแล้ว ความตกลงปารีสคือสายใยแห่งชีวิต” นาย Debasu แถลงเมื่อทรัมป์นำสหรัฐฯออกจากความตกลงปารีส “หากไม่มีความตกลงปารีส ชีวิตของผู้คนนับพันล้านในอาฟริกา เอเชีย แคริบเบี้ยน ละตินอเมริกา และแปซิฟิก จะตกอยู่ในอันตราย”
คุณภาพสิ่งแวดล้อมถดถอย
การถอนตัวของสหรัฐฯจากความตกลงปารีสครั้งที่แล้วตามมาด้วยการถอดถอนกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ รัฐบาลทรัมป์ยกเลิกกฎหมายสิ่งแวดล้อมกว่าร้อยฉบับนับตั้งแต่มารตฐานประสิทธิภาพน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ไปจนถึงการจำกัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้า
การเปลี่ยนแปลงเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดคือการตักสินใจที่จะลดการควบคุมโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญของประเทศโดยทรัมป์อ้างว่าเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมพลังงานและการจ้างงานในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้เชี่ยวชาญได้ออกโรงเตือนว่านโยบายนี้จะทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย NDCs ภายใต้ความตกลงปารีสของตนได้ นอกจากนี้การถอนตัวของสหรัฐฯยังเป็นเหมือนคำเชื้อเชิญให้ประเทศอื่น ๆ ละเลยต่อคำมั่นที่ให้ไว้ในความตกลงไปด้วย ในขณะที่บางประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาคมยุโรปหรือจีนต้องเข้าแบกรับภาระแทนในส่วนของสหรัฐอเมริกาที่ขาดหายไป จากรายงานของ According to the International Energy Agency ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.7% ในปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่สหรัฐฯ เริ่มกระบวนการถอนตัวจากความตกลงปารีส