โดย Robin Wall Kimmerer

บทนำ: การสานสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติผ่านหญ้าหวาน
Braiding Sweetgrass: Indigenous Wisdom, Scientific Knowledge, and the Teachings of Plants เป็นผลงานระดับปรากฏการณ์ของ Robin Wall Kimmerer นักพฤกษศาสตร์และสมาชิกของ ชนเผ่า Potawatomi Nation
หนังสือเล่มนี้สำรวจ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ผ่านสายตาของ ชนพื้นเมืองและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยเน้นไปที่ หญ้าหวาน (Sweetgrass) ซึ่งเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ที่สอนบทเรียนลึกซึ้งเกี่ยวกับ การให้ การรับ และการดูแลโลกธรรมชาติ
Kimmerer เสนอว่า การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ไม่ได้เป็นเพียง ทางเลือกเชิงศีลธรรม แต่เป็น ความจำเป็นเชิงโครงสร้าง สำหรับการสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน ด้วยการผสมผสานระหว่าง ภูมิปัญญาดั้งเดิมของชนพื้นเมือง (Traditional Ecological Knowledge – TEK) และ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ Kimmerer เปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สามารถสร้างอนาคตที่เกื้อกูลและยั่งยืนได้
1. หญ้าหวาน: ครูผู้สอนเรื่องการให้และการรับอย่างสมดุล
1.1 ความสำคัญทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของหญ้าหวาน หญ้าหวาน (Sweetgrass) หรือที่เรียกว่า “wiingaashk” ในภาษาของชนเผ่า Potawatomi เป็นพืชที่มีความสำคัญอย่างลึกซึ้งในวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอเมริกาเหนือ หญ้าหวานถูกใช้ใน พิธีกรรมชำระล้างจิตวิญญาณและการอธิษฐาน โดยถือว่าเป็น “ผู้ให้” ที่เชื่อมโยงมนุษย์เข้ากับธรรมชาติ ด้วยกลิ่นหอมที่อบอุ่นและคุณสมบัติในการฟื้นฟูจิตใจและดินแดน หญ้าหวานจึงกลายเป็น สัญลักษณ์ของความเมตตาและความเอื้ออาทรของโลกธรรมชาติ
1.2 หญ้าหวานสอนบทเรียนเรื่อง “เศรษฐกิจแห่งการให้” Kimmerer ใช้ หญ้าหวาน เป็นตัวแทนในการอธิบาย “เศรษฐกิจแห่งการให้” (Economy of Reciprocity) ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่เน้นการ แลกเปลี่ยนที่เกื้อกูลกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ หญ้าหวานให้กลิ่นหอมและคุณสมบัติในการฟื้นฟูแก่มนุษย์ และในทางกลับกัน มนุษย์ต้อง ดูแลและปกป้องดินแดน ที่หญ้าหวานเจริญเติบโต แนวคิดนี้เป็น การท้าทายระบบทุนนิยมแบบตะวันตก ที่มองว่าธรรมชาติเป็นเพียงทรัพยากรที่ต้องแสวงหาผลกำไร
2. เศรษฐกิจแห่งการให้: ท้าทายระบบทุนนิยมด้วยความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกัน
2.1 การปฏิเสธแนวคิด “การครอบครอง” ในระบบทุนนิยม Kimmerer วิพากษ์ ระบบทุนนิยมแบบตะวันตก ที่มองว่าทรัพยากรธรรมชาติเป็น “วัตถุทางเศรษฐกิจ” ที่สามารถแสวงหาผลกำไรได้อย่างไร้ขีดจำกัด เธอเสนอว่า เศรษฐกิจแห่งการให้ ของชนพื้นเมืองมองว่าธรรมชาติไม่ใช่ “สิ่งของที่ต้องครอบครอง” แต่เป็น “ผู้ให้ที่ต้องดูแลและตอบแทน” หญ้าหวานสอนว่าการ เก็บเกี่ยวอย่างเคารพ ไม่ใช่การแสวงหาประโยชน์ แต่เป็นการ สร้างความสมดุลระหว่างการรับและการดูแล
2.2 การฟื้นฟูความสัมพันธ์ผ่านการ “ให้และรับอย่างสมดุล” “การให้และรับอย่างสมดุล” เป็นแนวคิดสำคัญในวัฒนธรรมชนพื้นเมืองที่ Kimmerer นำเสนอ หญ้าหวานให้มนุษย์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่หากมนุษย์เก็บเกี่ยวมากเกินไปโดยไม่ตอบแทนด้วยการดูแลดินแดน หญ้าหวานก็จะหายไปจากผืนดิน แนวคิดนี้เป็นการ ท้าทายระบบทุนนิยม ที่ส่งเสริมการแสวงหาผลกำไรสูงสุดโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อธรรมชาติ
3. การบูรณาการ TEK กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่: สร้างความรู้แบบสองสายตา (Two-Eyed Seeing)
3.1 การเชื่อมโยงความรู้ของชนพื้นเมือง (TEK) กับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ Kimmerer นำเสนอ “Two-Eyed Seeing” หรือ “การมองโลกด้วยสองสายตา” ซึ่งเป็นการผสมผสาน ความรู้ดั้งเดิมของชนพื้นเมือง (Traditional Ecological Knowledge – TEK) กับ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยเชื่อว่าการผสมผสานระหว่าง ภูมิปัญญาดั้งเดิม ที่มีความเข้าใจในระบบนิเวศและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต กับ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่มีเครื่องมือในการวิเคราะห์และจัดการระบบนิเวศ จะนำไปสู่ แนวทางการฟื้นฟูที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
3.2 การใช้ “Two-Eyed Seeing” เพื่อออกแบบนโยบายการอนุรักษ์ Kimmerer เสนอว่า “Two-Eyed Seeing” สามารถเป็น กรอบแนวคิดในการออกแบบนโยบายการฟื้นฟูระบบนิเวศและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของ COP ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) โดยการยอมรับและให้ความสำคัญกับ ภูมิปัญญาของชนพื้นเมือง ควบคู่ไปกับ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
4. การคืนสิทธิและอำนาจให้ชนพื้นเมือง: ผู้พิทักษ์ระบบนิเวศที่แท้จริง
4.1 การฟื้นฟูอธิปไตยของชนพื้นเมืองในการดูแลระบบนิเวศ Kimmerer เน้นย้ำว่า การฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มี การคืนสิทธิและอำนาจในการจัดการทรัพยากรให้กับชนพื้นเมือง เนื่องจากชนพื้นเมืองมี ความรู้และความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับระบบนิเวศในพื้นที่ของตนเอง การให้ ชนพื้นเมืองมีบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ดินแดน จึงเป็น กุญแจสำคัญในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
4.2 การให้ชนพื้นเมืองมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระหว่างประเทศ Kimmerer ชี้ให้เห็นว่า ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ควรให้ความสำคัญกับ เสียงและบทบาทของชนพื้นเมือง ในฐานะ ผู้ดูแลระบบนิเวศดั้งเดิม เธอเสนอว่า การให้ชนพื้นเมืองมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ จะช่วยสร้างความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างยั่งยืน
5. Sweetgrass: ครูผู้สอนอนาคตแห่งความยั่งยืน
5.1 Sweetgrass เป็น “ต้นแบบแห่งความหวัง” ในโลกหลังทุนนิยม Kimmerer เสนอว่า หญ้าหวานเป็นสัญลักษณ์ของอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรม ซึ่งเป็น โลกหลังทุนนิยม ที่เน้น การให้และการดูแล แทนการสะสมและการเอาเปรียบ Sweetgrass สอนให้มนุษย์ กลับมาสานสายสัมพันธ์กับธรรมชาติและดูแลโลกอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งสามารถเป็น แนวทางในการออกแบบสังคมและเศรษฐกิจแห่งอนาคต
5.2 การเปลี่ยนแปลงผ่านการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับ “การให้” Kimmerer เสนอว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ หากมนุษย์สามารถ มองธรรมชาติในฐานะ “ผู้ให้” และไม่ใช่ “ทรัพยากร” ก็จะเกิด กระบวนการฟื้นฟูและการสร้างสังคมที่ยั่งยืน อย่างแท้จริง เธอเสนอว่า หญ้าหวานสอนเราถึงความสำคัญของการตอบแทนธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงการเก็บเกี่ยวเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่เป็น การแลกเปลี่ยนที่สมดุลระหว่างการให้และการรับ ซึ่งสามารถเป็น ต้นแบบในการออกแบบนโยบายและเศรษฐกิจแห่งอนาคต
6. บทบาทของจิตวิญญาณและพิธีกรรมในความสัมพันธ์กับธรรมชาติ
6.1 จิตวิญญาณ: การมองธรรมชาติในฐานะ “ผู้มีชีวิต” Kimmerer เน้นว่า ชนพื้นเมืองมองธรรมชาติเป็นผู้มีชีวิตและจิตวิญญาณ หญ้าหวานไม่ใช่แค่พืช แต่เป็น ผู้ให้ ที่มีความเมตตาและมีบทบาทในการดูแลมนุษย์ การปฏิบัติต่อหญ้าหวานด้วยความเคารพจึงไม่ใช่เพียง การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นการ รักษาความสมดุลของความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณ ที่เชื่อมโยงมนุษย์กับโลกธรรมชาติ
6.2 พิธีกรรมแห่งการตอบแทน: การคืนความสมดุลให้โลก Kimmerer อธิบายว่า พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับหญ้าหวาน เช่น การเผาเพื่อชำระล้างจิตวิญญาณ หรือการถักหญ้าหวานเป็นเส้นเพื่อสานสายสัมพันธ์กับธรรมชาติ สะท้อนถึงการตอบแทนและการเคารพธรรมชาติ พิธีกรรมเหล่านี้เป็น การแสดงออกถึงความกตัญญูและการคืนสมดุลให้แก่โลก ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด เศรษฐกิจแห่งการให้ ที่ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนที่เกื้อกูลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
7. การขับเคลื่อนสู่ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมผ่านบทเรียนจากหญ้าหวาน
7.1 ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมในบริบทของชนพื้นเมือง Kimmerer เชื่อมโยง แนวคิดความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice) กับ สิทธิของชนพื้นเมืองในการดูแลและจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เธอแสดงให้เห็นว่า การฟื้นฟูระบบนิเวศและการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ สิทธิและอธิปไตยของชนพื้นเมืองได้รับการยอมรับและฟื้นฟู ซึ่งขัดแย้งกับระบบทุนนิยมที่กีดกันชนพื้นเมืองออกจากดินแดนของตน
7.2 การให้เสียงแก่ชนพื้นเมืองในข้อตกลงระดับโลก Kimmerer เสนอว่า ข้อตกลงระหว่างประเทศและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ควรให้ เสียงและบทบาทแก่ชนพื้นเมือง ในฐานะ ผู้ดูแลดินแดนและระบบนิเวศ หากชนพื้นเมืองมีอำนาจในการกำหนดทิศทางของนโยบาย ความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ก็จะไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่จะกลายเป็น เครื่องมือในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
8. การวิพากษ์เศรษฐกิจเชิงระบบ: ท้าทายโครงสร้างทุนนิยมอย่างลึกซึ้ง
8.1 ทุนนิยมกับการแปรเปลี่ยนธรรมชาติเป็นสินค้า Kimmerer วิพากษ์ ระบบทุนนิยมอย่างลึกซึ้ง โดยแสดงให้เห็นว่าทุนนิยม เปลี่ยนธรรมชาติให้กลายเป็นสินค้า (Commodification of Nature) ที่ถูกแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่สิ้นสุด เธอเสนอว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเกิดขึ้นในระดับโครงสร้าง โดยการ เปลี่ยนกรอบคิดทางเศรษฐกิจจาก “การสะสม” สู่ “การให้และการดูแล”
8.2 การสร้าง “เศรษฐกิจแห่งการให้” ให้เป็นโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ Kimmerer เสนอให้ เศรษฐกิจแห่งการให้ ไม่ใช่แค่ทางเลือกทางศีลธรรม แต่เป็น แนวทางในการสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่เน้น ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เศรษฐกิจนี้จะ ส่งเสริมความยั่งยืนและความเป็นธรรมทางสังคม โดยการ ตอบแทนและดูแลระบบนิเวศ มากกว่าการสะสมทรัพยากร
9. การเสนออนาคตที่สร้างความหวังอย่างยั่งยืน
9.1 Sweetgrass เป็น “ต้นแบบแห่งความหวัง” ในโลกหลังทุนนิยม Kimmerer เสนอว่า หญ้าหวานเป็นสัญลักษณ์ของอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรม ซึ่งเป็น โลกหลังทุนนิยม ที่เน้น การให้และการดูแล แทนการสะสมและการเอาเปรียบ Sweetgrass สอนให้มนุษย์ กลับมาสานสายสัมพันธ์กับธรรมชาติและดูแลโลกอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งสามารถเป็น แนวทางในการออกแบบสังคมและเศรษฐกิจแห่งอนาคต
9.2 การเปลี่ยนแปลงผ่านการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับ “การให้” Kimmerer เสนอว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ หากมนุษย์สามารถ มองธรรมชาติในฐานะ “ผู้ให้” และไม่ใช่ “ทรัพยากร” ก็จะเกิด กระบวนการฟื้นฟูและการสร้างสังคมที่ยั่งยืน ที่แท้จริง
10. บทสรุป: การสานสายสัมพันธ์เพื่อโลกที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
Braiding Sweetgrass หรือ “สานสายสัมพันธ์: ภูมิปัญญาชนพื้นเมือง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และบทเรียนจากหญ้าหวาน” ของ Robin Wall Kimmerer ไม่เพียงแต่เป็นหนังสือที่สอนเกี่ยวกับ พฤกษศาสตร์และวัฒนธรรมชนพื้นเมือง แต่เป็น คู่มือในการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างยั่งยืน ผ่านการ ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ด้วยการผสมผสานระหว่าง ภูมิปัญญาของชนพื้นเมือง (TEK) และ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่
Kimmerer นำเสนอว่า เศรษฐกิจแห่งการให้ ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดเชิงศีลธรรม แต่เป็น โครงสร้างเศรษฐกิจทางเลือก ที่สามารถ ท้าทายและเปลี่ยนแปลงระบบทุนนิยม ที่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและความเป็นธรรมทางสังคม
ข้อเสนอเชิงโครงสร้างเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน:
- การบูรณาการ TEK กับวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างแนวทางฟื้นฟูระบบนิเวศที่มีประสิทธิภาพ
- การคืนสิทธิและอำนาจให้ชนพื้นเมืองในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
- การสร้างระบบเศรษฐกิจแห่งการให้ ที่เคารพต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
- การออกแบบนโยบายระหว่างประเทศที่ให้เสียงแก่ชนพื้นเมือง เพื่อสร้างความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม
บทสรุปเชิงลึก: การเชื่อมโยงกับข้อตกลงระหว่างประเทศ
หาก ที่ประชุม COP ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) ต้องการสร้างข้อตกลงที่สามารถ ปกป้องสิทธิของชนพื้นเมืองและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน แนวคิดใน Braiding Sweetgrass สามารถเป็น กรอบแนวคิดหลักในการออกแบบนโยบายและข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่เน้น การคืนสิทธิและอำนาจให้ชนพื้นเมือง และ การบูรณาการความรู้ดั้งเดิมเข้ากับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ