THAI CLIMATE JUSTICE for All

เดนมาร์กกับการเปลี่ยนผ่านสู่โปรตีนพืช ความเป็นธรรมสภาพภูมิอากาศที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

อาหารไม่ใช่แค่พลังงาน แต่คืออัตลักษณ์

ในศตวรรษแห่งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ระบบอาหารถูกตั้งคำถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อุตสาหกรรมปศุสัตว์มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราวร้อยละ 12–20 ของโลก (FAO, 2021) และมีผลต่อทั้งการทำลายผืนป่า แหล่งน้ำ และการใช้ทรัพยากรที่ไม่ยั่งยืน โดยเฉพาะในประเทศที่ผลิตเนื้อสัตว์เพื่อการส่งออกมากกว่าการบริโภคภายใน เช่น เดนมาร์ก ซึ่งมีสุกรมากกว่าประชากรถึงห้าเท่า และภาคปศุสัตว์เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงร้อยละ 25 ของทั้งประเทศ (Danish Ministry of Food, Agriculture and Fisheries, 2024)

แต่การเปลี่ยนผ่านระบบอาหารไม่ใช่เรื่องเทคนิคหรือเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว เพราะอาหารเป็นสิ่งที่ฝังลึกในวัฒนธรรม ความทรงจำ และตัวตนของผู้คน “ถ้าคุณบอกคนให้หยุดกินในสิ่งที่พวกเขาเติบโตมากับมัน คุณไม่ได้แค่พูดถึงอาหาร คุณกำลังแตะต้องความเป็นใครของเขา” คำพูดของ Zenia Stampe สมาชิกสภาเดนมาร์ก (The Guardian, 2025) สะท้อนความจริงนี้ได้อย่างเฉียบคม

ความเป็นธรรมด้านภูมิอากาศ เงื่อนไขของการเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน

แนวคิด “ความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ” (climate justice) ไม่ได้มองปัญหาโลกร้อนเป็นเพียงประเด็นสิ่งแวดล้อม แต่เน้นว่าผลกระทบและต้นทุนในการปรับตัวกระจายไม่เท่ากัน ผู้ที่มีอำนาจในการสร้างวิกฤตมักจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ขณะที่คนชายขอบกลับต้องเผชิญกับผลกระทบโดยไร้ทรัพยากรในการรับมือ

อดีตข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ Mary Robinson เคยกล่าวไว้ว่า “Climate change is a man-made problem that requires a feminist solution. It’s about power, voice, and who gets to decide.” ในบริบทของระบบอาหาร ความเป็นธรรมไม่ได้หมายถึงการเลิกกินเนื้อสัตว์พร้อมกันทุกคน แต่หมายถึงการเข้าใจว่าใครกำลังถูกคาดหวังให้เปลี่ยนเร็วที่สุด โดยที่อาจไม่ได้รับทรัพยากรหรือโอกาสเท่ากัน

การเปลี่ยนผ่านที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ในจุดนี้ เดนมาร์กเลือกทางเดินที่แตกต่าง ไม่ได้เริ่มจากการออกกฎหมายสั่งห้ามหรือกำหนดเป้าหมายการลดเนื้อสัตว์อย่างเฉียบพลัน แต่เริ่มจากการสร้างพื้นที่ร่วมให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ “ร่วมออกแบบอนาคต” แทนที่จะเป็นเพียงผู้ถูกปรับพฤติกรรม

การจับมือระหว่างสภาเกษตรแห่งชาติ (DAFC) กับมูลนิธิ Vegetarian Society of Denmark ในการร่างแนวทางเปลี่ยนผ่านโปรตีนสัตว์สู่โปรตีนพืช แสดงให้เห็นว่านโยบายที่เป็นธรรมต้องเริ่มจากการรับฟังและเจรจา ไม่ใช่การเร่งเร้า

Anders Klöcker ผู้อำนวยการ DAFC กล่าวไว้ว่า “เราต้องการให้การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทำให้เกษตรกรรู้สึกว่าถูกบังคับ แต่เป็นโอกาสที่พวกเขาเลือกเอง มิเช่นนั้นเราจะสูญเสียความเชื่อมั่นจากพวกเขาไปตลอดกาล” (The Guardian, 2025)

กลยุทธ์ “พูดถึงสิ่งที่เราอยากเห็น” และภาษาที่ไม่แบ่งขั้ว

หนึ่งในความแหลมคมของเดนมาร์กคือการสื่อสารนโยบายที่หลีกเลี่ยงวาทกรรมแบ่งขั้ว เดนมาร์กไม่ได้ใช้คำว่า “งดเนื้อ” หรือ “บังคับกินพืช” แต่ใช้คำว่า “อาหารจากพืช” (plant-based foods) ที่เปิดพื้นที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้โดยไม่รู้สึกถูกตัดสินหรือผลักออกจากบทสนทนา

Rune Dragsdahl กล่าวไว้อย่างแหลมคมว่า “เราสามารถพูดถึงอนาคตที่ทุกคนอยากมีส่วนร่วมได้ ถ้าเราหยุดพูดว่ามีอะไรที่ ‘ผิด’ กับชีวิตของเขา” (The Guardian, 2025) การสื่อสารที่วางอยู่บนฐานของความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่การสั่งสอน จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง

ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง และการออกแบบที่ตอบสนอง

ความเป็นธรรมในระบบอาหาร ยังสะท้อนผ่านการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เดนมาร์กไม่ได้คาดหวังให้ผู้ผลิตอาหารเปลี่ยนวิธีผลิตด้วยตนเองโดยไม่มีเครื่องมือหรือทุนสนับสนุน ในทางตรงกันข้าม รัฐได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ พัฒนาวัตถุดิบ และฝึกอบรมแรงงานรุ่นใหม่ รวมถึงจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์เพื่อนำมาฟื้นฟูพื้นที่ลุ่มให้กลับเป็นพื้นที่ดูดซับคาร์บอน

แผนปฏิบัติการด้านอาหารจากพืชยังเน้นสร้างตลาดใหม่อย่างจริงจัง เช่น การสนับสนุนให้วิทยาลัยอาชีวะเปิดหลักสูตรพ่อครัวอาหารจากพืช หรือการลงทุนพัฒนารสสัมผัสของเนื้อสัตว์เทียมให้ใกล้เคียงของจริง เพื่อไม่ให้ผู้บริโภครู้สึกว่าการเปลี่ยนผ่านคือการ “เสียสละ”

บทเรียนจากเดนมาร์ก และความเชื่อมโยงกับประเทศกำลังพัฒนา

หากมองในบริบทประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย บทเรียนจากเดนมาร์กให้ความกระจ่างชัดว่า การเปลี่ยนผ่านด้านอาหารต้องไม่เริ่มต้นด้วยการตำหนิพฤติกรรมผู้บริโภค หรือบังคับเกษตรกรให้เปลี่ยนแปลงอย่างโดดเดี่ยว โดยเฉพาะในบริบทที่อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูง เช่น ไทยที่เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกเนื้อไก่อันดับต้นของโลก

ชาวนาที่เลี้ยงไก่ วัว หมู แบบผสมผสานในระดับครัวเรือน อาจถูกผลักออกจากกระบวนการหากรัฐไม่ได้วางนโยบายให้ “เปลี่ยนได้จริง” โดยมีตลาด แรงสนับสนุน และการยอมรับจากผู้บริโภค หากไม่มีความเป็นธรรมในการออกแบบ การเปลี่ยนผ่านจะกลายเป็นการผลักผู้เปราะบางให้ออกไปอยู่ชายขอบของระบบใหม่ที่ตนเองไม่ได้ร่วมออกแบบ

ข้อเสนอเชิงระบบ การเปลี่ยนผ่านไม่ควรเริ่มที่ “การเลิกทำ” แต่ที่ “การร่วมสร้าง”

บทเรียนจากเดนมาร์กไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขงบประมาณหรือเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่อยู่ที่การเลือกใช้ “ความเป็นธรรม” เป็นกรอบในการออกแบบทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่าน ตั้งแต่การฟังเสียงของเกษตรกร การสร้างตลาดที่ยั่งยืน ไปจนถึงการสื่อสารอย่างไม่แบ่งแยก

หากประเทศไทยต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืนเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและดูแลสุขภาวะของสังคม สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ส่งเสริมการบริโภคโปรตีนพืช แต่ต้องลงทุนในการทำให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถเข้ามาอยู่ในระบบนี้ได้อย่างเท่าเทียม และรู้สึกว่า “อนาคตใหม่นี้ก็เป็นของเขาเช่นกัน”

ดังที่ Zenia Stampe กล่าวไว้ว่า “นี่ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม มันคือการคิดใหม่ว่าใครควรมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตของเรา” (The Guardian, 2025)


แหล่งอ้างอิง

Food and Agriculture Organization (FAO). (2021). Global Livestock Environmental Assessment Model (GLEAM).

Danish Ministry of Food, Agriculture and Fisheries. (2024). Danish Action Plan for Plant-based Foods. https://en.fvm.dk/…/Danish-Action-Plan-for-Plant-based…

The Guardian. (31 Jan 2025). More carrot, less stick: how meat-loving Danes were sold a plant-led world first. https://www.theguardian.com/…/more-carrot-less-stick…

Scroll to Top