THAI CLIMATE JUSTICE for All

รายงานความก้าวหน้าฉบับสมบูรณ์| โครงการเยาวชนคนบุ่งคล้าตื่นรู้ กู้วิกฤตโลกรวน

โดย สมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน (คสข.)

ที่มา

ตำบลบุ่งคล้า อำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ เป็นชุมชนขนาด 1,252 ครัวเรือนมีจำนวน  9  หมู่บ้าน  ประชากรในพื้นที่มี 4,858 คน  ทิศเหนือติดกับแม่น้ำโขง ทิศใต้ติดกับเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูวัว  ในอดีตบุ่งคล้าอุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารโปรตีนจากกุ้ง หอย ปู ปลา จากแม่น้ำโขง และปลูกผักริมตลิ่งรวมทั้งพืชพรรณอาหาร สมุนไพร ในป่าใกล้บ้าน  ปัจจุบันเหลืออาชีพหลัก คือ ทำนาและปลูกยางพารา ชุมชนประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพและความความมั่นคงทางอาหาร อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพนิเวศของแม่น้ำโขง ทั้งที่มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกและการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในต้นน้ำของจีนและสปป.ลาว ส่งผลให้ปริมาณและชนิดพันธุ์ปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลง พื้นที่ริมแม่น้ำที่ชุมชนเคยอาศัยปลูกพืชผักปลอดสารเคมี ถูกแทนที่ด้วยเขื่อนกันตลิ่งพัง แม้จะมีดินงอกจากการเปลี่ยนแปลงของทิศทางน้ำ แต่ดินก็มีสภาพที่ขาดความอุดมสมบูรณ์เป็นตะกอนทรายส่วนมาก อัตราการใช้สารเคมีทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

สภาองค์กรชุมชนตำบลบุ่งคล้า  จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2551 ตาม พรบ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2551 ในฐานะองค์กรสมาชิกของสมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน ได้พยายามร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการศึกษาวิจัยสาเหตุ ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง การจัดทำแผนงานเพื่อปรับตัวต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น มูลนิธิอุทกพัฒน์ เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการน้ำชุมชน กรมประมง เพื่อปล่อยปลาและจัดทำเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลาในแม่น้ำโขง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กระทรวงการพัฒนาสังคมเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ในการช่วยเหลือปรับปรุงบ้านพักที่อยู่อาศัยให้กับสมาชิกที่ยากลำบาก การแก้ไขปัญหาช้างป่าที่ทำลายพืชผลทางการเกษตรร่วมกับหน่วยงานปกครองของจังหวัดด้วยการตั้งกองทุนช้างป่า  ซึ่งทั้งหมด เป็นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหา อุปสรรคสำคัญในการดำเนินงาน คือขาดการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพแกนนำของสภาองค์กรชุมชนตำบลบุ่งคล้า ให้มีความสามารถในการทำงานกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถประสานงาน จัดทำข้อมูลและจัดทำแผนพัฒนากลุ่ม องค์กรสมาชิก ประสานจัดหาแหล่งทุนเพื่อปฏิบัติการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง ยั่งยืน นอกจากนี้ แกนนำยังมีความสามารถในการสื่อสารกับสาธารณะเพื่อประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการกระตุ้นบุคคลทั่วไปให้ตระหนักรู้ในสถานการณ์ปัญหาดังกล่าวค่อนข้างน้อย รวมทั้งขาดการมีส่วนร่วมของแกนนำเยาวชนในพื้นที่เพื่อสืบสานเรื่องราวดังกล่าว และในปี 2566 องค์กรมีแผนในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม  เกษตรกรรม ด้านสุขภาพและการบริการด้านสังคมให้ขยายวงกว้างยิ่งขึ้น  ซึ่งแผนงานเบื้องต้นประกอบด้วย

 การปลูกผักปลอดภัยเพื่อบริโภคในครัวเรือนและฟื้นฟูเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่น เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ผักที่ซื้อจากร้านค้านำมาเพาะปลูกไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์มาเพาะขยายพันธุ์ปลูกต่อได้  ทำให้ต้องซื้อใหม่ทุกๆครั้งที่มีการปลูกรอบใหม่  และเมล็ดพันธุ์ผักพื้นถิ่นต่างๆเริ่มหมดไปเนื่องจากไม่ได้มีการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ไว้  นอกจากนี้ เกษตรกรในพื้นที่ยังใช้สารเคมีในการปลูกพืชอาจทำให้เกิดอันตรายในการบริโภคได้  เบื้องต้น สภาองค์กรชุมชนได้รับความช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์พืชผักอินทรีย์บางชนิดจากโครงการบ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง จำนวน 400 ครัวเรือน และอยู่ระหว่างการขยายพื้นที่และความร่วมมือในระดับชุมชนทั้ง 9 หมู่บ้าน เพื่อแบ่งปันความรู้เรื่องปฏิทินการปลูกพืชผักสวนครัว พืชผลต่างๆ การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ที่ถูกวิธี การผลิตน้ำหมัก ปุ๋ยชีวภาพใช้เอง ตลอดจนการรวบรวมเมล็ดพันธุ์พืชในพื้นที่และนอกพื้นที่ที่เป็นพืชพื้นถิ่น พืชสมุนไพรหายากเพื่อนำไปปลูกต่อและขยายพันธุ์เองได้ในอนาคต

การสำรวจพื้นที่แหล่งน้ำชุมชนที่เหมาะสมเพื่อจัดทำเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ จำนวน 4 แห่ง รวม 120 ไร่  เช่น ปลา หอย ปู และกบเขียด เพื่อให้มีแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ อุปสรรคที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กบ เขียดที่เพาะขยายพันธุ์ตามธรรมชาติในต้นฤดูฝน  เกิดปรากฏการฝนทิ้งช่วง ทำให้น้ำแห้งขอด   ลูกกบเขียดที่กำลังเจริญเติบโตส่วนมากตายไป จึงทำให้จำนวนกบเขียดลดลง ปัญหาการทำเขตอนุรักษ์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการสนับสนุนให้เกิดความต่อเนื่องและพึ่งพาตนเองได้ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมการเพาะขยายพันธุ์กบเพื่อปล่อยคืนสู่เขตอนุรักษ์และแหล่งธรรมชาติ  เพื่อเพิ่มจำนวนกบในธรรมชาติ  นอกจากนี้ ภาวะน้ำโขงขึ้นลงผิดปกติ  ท่วมหน้าแล้ง แห้งหน้าฝน เนื่องจากการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงทำให้เกิดผลกระทบต่อการขึ้นไปวางไข่และขยายพันธ์ของปลาในแม่น้ำสาขาและลำห้วย ทำให้จำนวนปลาตามธรรมชาติตามลำห้วย หนองน้ำต่างๆมีปริมาณลดลง และในริมโขงตำบลบุ่งคล้ามีการทำการประมงริมโขง  เกือบตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในห้วงเดือน พฤษภาคม ถึงเดือน สิงหาคมจะมีการดักปลาบริเวณหาดทรายริมโขงด้วยเครื่องมือประมงดักจับปลา ได้ลูกปลากินพืชเล็กๆจำนวนมากในแต่ละปี เช่นปลาตะเพียน ปลาเอิน ปลาตะเพียนทอง ปลาโจก ชาวประมงริมโขงจะนำไปจำหน่ายและทำปลาร้า  สภาองค์กรกรชุมชนตำบลบุ่งคล้าเล็งเห็นว่าหากมีการนำลูกปลาที่ชาวประมงริมโขงที่จับได้นำมาอนุบาลไว้แล้วนำไปเลี้ยงในบ่อและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติตามลำห้วย หนองคลองบึง แม่น้ำสาขาและในเขตอนุรักษ์ต่างๆของแต่ละหมู่บ้านที่ได้กำหนดไว้ จะสามารถเพิ่มจำนวนปลาในแหล่งน้ำในพื้นที่และขยายพันธุ์เพิ่มได้  จึงจำเป็นต้องมีการสร้างกระชังอนุบาลลูกปลาน้ำโขงพร้อมสนับสนุนอาหารและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบในการเคลื่อนย้ายปลาสู่แหล่งน้ำธรรมชาติและเขตอนุรักษ์ให้ปลอดภัย

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อศึกษาข้อมูลการเปลี่ยนแปลง ผลกระทบและแผนการปรับตัวที่ชุมชนได้รับจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ และโครงการพัฒนาเขื่อนแม่น้ำโขง โดยการใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
  2. เพื่อปฏิบัติการนำร่องแก้ไขปัญหาสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์พลเมือง ที่เยาวชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการ
  3. เพื่อผลิตสื่ออย่างง่ายและสื่อสารข้อค้นพบผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

กิจกรรม

1) ประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลบุ่งคล้า  เพื่อทบทวนสถานการณ์ปัญหา ผลกระทบ วางแผนคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย ออกแบบเครื่องมือการสำรวจข้อมูล จัดทำแผนปฏิบัติการ ดำเนินงาน ติดตามสนับสนุนงานภายใน และร่วมกับสมาคมเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน ในการประเมินผลเมื่อสิ้นสุดโครงการ

2) อัพเดตข้อมูลสถานการณ์ ผลกระทบในอดีต และปัจจุบัน โดยจัดสนทนากลุ่มแลกเปลี่ยนสถานการณ์ปัญหาและแนวทางแก้ไขกับกลุ่มชาวประมง เกษตรกร เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ

3) สนับสนุนกิจกรรมกลุ่มเยาวชน เพื่อค้นหาคำตอบ โดยสัมภาษณ์และสำรวจทรัพยากรในแม่น้ำโขงและในพื้นที่เขตอนุรักษ์และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร

4) การสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและจัดทำเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ เช่น การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ อาหารเพื่อการอนุบาลสัตว์น้ำ กบ เขียด จัดตั้งกองทุนซื้อลูกปลาแม่น้ำโขงเพื่อปล่อยลงเขตอนุรักษ์ การเพาะขยายพันธุ์กบ การสนับสนุนลูกกบสำหรับการเลี้ยงในครอบครัวสมาชิก ตลอดจนปล่อยลงแหล่งน้ำเขตอนุรักษ์ของชุมชน

5) สนับสนุนการดำเนินงานของสมาคมฯในการบริหารจัดการโครงการให้เป็นไปตามแผนและเอื้ออำนวยการทำงานของสภาองค์กรชุมชนตำบลบุ่งคล้าให้มีประสิทธิภาพด้วยการสนับสนุนการประชุมเพื่อวางแผน ดำเนินการ ติดตามสนับสนุนและสรุปบทเรียนโครงการตลอดจนพัฒนาศักยภาพการจัดทำข้อมูลเพื่อการสื่อสาร

            ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. สมาชิกผู้ได้รับผลกระทบอย่างน้อย 40 คน มีส่วนร่วมในการดำเนินงานเพื่อนำเสนอข้อมูล แผนการปรับตัวที่ได้รับจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ และโครงการพัฒนาเขื่อนแม่น้ำโขง
  2. เยาวชนในชุมชนอย่างน้อย 20 คน ตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง และสามารถผลิตสื่ออย่างง่ายเพื่อการสื่อสาร
  3. ชุมชนมีเขตพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 4 แห่ง  และมีการกระจายพันธุ์ในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ
  4. สมาชิกผู้เข้าร่วมโครงการ มีพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อปล่อยเลี้ยงในพื้นที่ธรรมชาติตามหัวไร่ปลายนา สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับครัวเรือน อย่างน้อย 20 ครอบครัว
  5. สภาองค์กรชุมชนตำบลบุ่งคล้า และสมาชิกในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ มีประสบการณ์ตรงในการปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ และโครงการพัฒนาเขื่อนแม่น้ำโขง สามารถเสนอบทเรียน ต่อเครือข่ายชุมชนลุ่มน้ำโขงอื่นๆ และสาธารณะได้
การศึกษาข้อมูลการเปลี่ยนแปลง ผลกระทบและแผนการปรับตัวที่ชุมชนได้รับจากกาเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ และโครงการพัฒนาเขื่อนแม่น้ำโขง โดยการใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 
1.โจทย์การศึกษา 
  1. ชุมชนมีประวัติการตั้งถิ่นฐานในอดีตที่สัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร
    1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ทั้งภายในและภายนอกชุมชนมีอะไรบ้าง
    1. แนวทางแก้ไขปัญหาและการปรับตัวของชุมชนควรเป็นอย่างไร
    1. รูปธรรมความสำเร็จที่ผ่านมาและควรขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆ หรือทำให้ดีขึ้นมีอะไรบ้าง
2.วิธีการศึกษา  

2.1 การทบทวนข้อมูลมือสอง และอัพเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน  ผ่านการตั้งประเด็นพูดคุยเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง  เช่น ประวัติชุมชน การพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในอดีตถึงปัจจุบัน  ผังทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งน้ำชุมชน ปฏิทินการเกษตร การใช้ประโยชน์  สถานการร์ปัญหา การแก้ไขปัญหาในอดีต

2.2 การสำรวจข้อมูลเพิ่มเติม โดยกลุ่มเยาวชน โดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และการสำรวจสภาพนิเวศ  (ระหว่างดำเนินการ)

2.3 การสนทนากลุ่มย่อยผู้สูงอายุและผู้ทำมาหากินในเขตพื้นที่อนุรักษ์วังปลาเดิม (ระหว่างดำเนินการ)

2.4  การทดลองปฏิบัติการจริงในการแก้ไขปัญหา ฟื้นฟูและจัดทำเขตอนุรักษ์ปลา กบ เขียด หอย ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการ โดยมีการสำรวจพื้นที่เหมาะสมรวม 4 แห่ง คือ  

– เขตอนุรักษ์หอย ปลา น้ำโขงบริเวณวัดป่าบุ่งคล้าใต้

– บริเวณหน้าอ่างเก็บน้ำหน้าห้วยสหาย  พื้นที่ประมาณ  60 ไร่ 

– บริเวณหนองกุดกว้าง  บ้านบุ่งคล้าทุ่ง-บ้านดอนจิก พื้นที่  50  ไร่

–  บริเวณห้วยก้านเหลืองบ้านดอนจิก    พื้นที่  10 ไร่ 

2.5 การสรุปบทเรียนการดำเนินงาน  และการสื่อสารเผยแพร่  (ยังไม่ดำเนินการ)

3.ผลการศึกษาเบื้องต้น 

ประวัติการตั้งถิ่นฐานในอดีตที่สัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ

          จากการสืบค้นข้อมูลมือสอง และคำบอกเล่าเพิ่มเติมของผู้ร่วมสนทนากลุ่ม ให้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกันว่า ตำบลบุ่งคล้า เดิมชื่อบ้านหนองเดิ่นทุ่ง มีการตั้งถิ่นฐานราวๆ ปีพ.ศ. 2453 (เป็นปีสุดท้ายในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5) ชาวบ้านในยุคนั้น ทำมาหากินด้วยการ ทำไร่ ทำนา ทำสวน ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม  และได้ถางป่าไปในทิศทางต่าง ๆ ของหมู่บ้านแล้วแต่ใครจะมีความสามารถ  ซึ่งก็มีราษฎรจำนวนหนึ่งได้ถางป่าลงมาทางทิศใต้ของหมู่บ้านและเลยออกมาทางทิศตะวันออกจนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง และปากห้วยสหายด้านเหนือ และในปี พ.ศ. 2460 นายเคน ประเคนคะชา ซึ่งเป็นกำนันอยู่ในสมัยนั้นได้ลาออกจากกำนันราษฎรในตำบลหนองเดิ่น  จึงได้เลือกกำนันคนใหม่ ได้นายพันธ์  ป้องกัน เป็นกำนันคนต่อมา ซึ่งได้พัฒนาตำบลให้เจริญรุ่งเรืองมาเรื่อย ๆ ด้วยปี พ.ศ. 2464  พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานนามให้กำนันพันธ์  ป้องกัน เป็น”ขุนกระจ่างหนองเดิ่น”  หรือชาวบ้านนิยมเรียกว่า “กำนันขุนกระจ่าง”  ซึ่งราษฎรทั่วไปจะรู้จักกันดี กำนันได้นำพาลูกบ้านพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น ปกครองหมู่บ้านด้วยความสันติสุขร่มเย็นตลอดมา จนถึงปี พ.ศ. 2472 บ้านหนองเดิ่นทุ่งที่กำนันขุนกระจ่างปกครองอยู่นั้นก็ได้เกิดโรคระบาด (อหิวาตกโรค) ท้องร่วงอย่างรุนแรง ราษฎรในหมู่บ้านได้เสียชีวิตลงเรื่อย ๆ ด้วยโรคนี้ จนในที่สุดถึงกับบ้านแตก
สาแหลกขาด จึงได้พากันอพยพออกจากหมู่บ้าน มาตั้งบ้านเรือนขึ้นใหม่จากริมฝั่งห้วยสะหายด้านเหนือซึ่งมีสภาพเป็นไร่ สวนอยู่ก่อนแล้วก่อนที่จะมีการมาตั้งบ้าน และทางด้านฝั่งห้วยทางทิศใต้ของห้วยสะหาย จะหันหน้าสู่แม่น้ำโขง 

กำนันขุนกระจ่าง พาลูกบ้านเปลี่ยนชื่อเป็น “บ้านบุ่งคล้า” เพราะมีหนองน้ำ  มีต้นคล้าเกิดเต็มไปหมด หนองน้ำแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ มีนก หนู ปู ปลา สัตว์ป่าชุกชุม เช่นเดียวกันกับกลางลำแม่น้ำโขงช่วงเวลาน้ำลด จะมีหาดทรายขึ้นริมฝั่งและกลางแม่น้ำโขงจะมีบุ่ง มีลักษณะคล้ายอ่าว  เป็นหนองน้ำเล็ก ๆ ที่มีต้นไคร้น้ำล้อมรอบ เป็นแอ่งที่มีน้ำขัง และสัตว์น้ำมักอาศัยในบุ่งให้ชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กๆ ได้ใช้เป็นแหล่งหาอาหาร เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ความอุดมสมบูรณ์ของหนองและบุ่ง ชาวบ้านจึงเอาคำว่า”บุ่ง” มารวมกับคำว่า “ คล้า”  ตั้งเป็นชื่อหมู่บ้าน ในช่วงแรกๆ มีการตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มๆ จึงเรียกว่า บ้านบุ่งคล้ากลาง, บ้านบุ่งคล้าทุ่ง, บ้านบุ่งคล้าเหนือ แต่โดยรวมคือ  “บ้านบุ่งคล้า” โดยมีกำนันขุนกระจ่างเป็นผู้ปกครองตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  จนถึงปี พ.ศ. 2478  กำนันขุนกระจ่างจึงได้ลาออกจากราชการ  นับเวลาที่ดำรงตำแหน่งเป็นกำนันตำบลหนองเดิ่นได้เวลา 18 ปีเต็ม

บ้านบุ่งคล้า ยังคงสังกัดตำบลหนองเดิ่นและมีผู้นำที่เป็นกำนันจากปี พ.ศ. 2478  -ปีพ.ศ. 2522 จำนวน 6 คน และด้วยเหตุผลทางการปกครองที่ต้องการยกระดับเป็นกิ่งอำเภอ ในปีนั้นเอง จึงมีการแยกหมู่บ้าน แบ่งเขตการปกครองอย่างชัดเจน เป็น 3 หมู่บ้านคือ บ้านบุ่งคล้า หมู่ 1 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง เป็นหมู่ 12 และบ้านบุ่งคล้าเหนือ เป็นหมู่ 13 ขึ้นกับตำบลหนองเดิ่น  อำเภอบึงกาฬ  จังหวัดหนองคาย แต่ละหมู่บ้านได้ทำการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน  โดยบ้านบุ่งคล้าเหนือ หมู่ 13 ได้เลือกได้ นายมั่น  วงษ์อุเทน (สารวัตรกำนันสมัยกำนันเจริญ ป้องกัน) เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก บ้านบุ่งคล้า หมู่ 1 ได้ นายสมบัติ  ป้องกัน เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก บ้านบุ่งค้าทุ่ง หมู่ 12 ได้นายเดช  สินปาง เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก 

จนถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2533  กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศแต่งตั้งบ้านบุ่งคล้าให้เป็นตำบลบุ่งคล้า ซึ่งแยกการปกครองออกจากตำบลหนองเดิ่น จึงได้เปลี่ยนหมู่อีกครั้งเป็นบ้านบุ่งคล้า หมู่ 1, บ้านบุ่งคล้าทุ่ง หมู่  2, บ้านบุ่งคล้าเหนือ หมู่ 3, บ้านนาจาน หมู่ 4, บ้านดอนจิก หมู่ 5, บ้านดอนแพง หมู่ 6,  บ้านขามเปี้ย หมู่ 7,บ้านซำบอน หมู่ 8 และบ้านโนนสะอาด หมู่ 9 รวม 9 หมู่บ้าน เป็นตำบลบุ่งคล้า อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2533 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศแต่งตั้งตำบลบุ่งคล้า เป็นกิ่งอำเภอบุ่งคล้า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2534 ชาวกิ่งอำเภอบุ่งคล้าได้เอาที่ทำการสภาตำบลบุ่งคล้า (ปัจจุบันคือองค์การบริหารส่วนตำบลบุ่งคล้า) เป็นที่ทำการชั่วคราวของที่ว่าการกิ่งอำเภอบุ่งคล้า  ตำบลบุ่งคล้าจึงได้เปลี่ยนจาก อำเภอบึงกาฬเป็นกิ่งอำเภอบุ่งคล้า และตำบลบุ่งคล้าจึงได้เปลี่ยนจากอำเภอบึงกาฬเป็นกิ่งอำเภอบุ่งคล้า และกิ่งอำเภอบุ่งคล้าได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอบุ่งคล้าเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2539 และตำบลบุ่งคล้าได้ยกฐานะขึ้นเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลบุ่งคล้า ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2539 โดยตำบลบุ่งคล้าตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ว่าการอำเภอบุ่งคล้าในปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2554 ได้มีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้น อำเภอบุ่งคล้าจึงเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 อันมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554
ตำบลบุ่งคล้า จึงได้ขึ้นกับอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดบึงกาฬ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบัน ตำบลบุ่งคล้าจึงมีอายุราวๆ 113 ปี

ด้านการปกครองตำบลบุ่งคล้า มีนายมีชัย ผลจันทร์ (ผู้ใหญ่บ้านขามเปี้ย) ได้เป็นกำนันปกครองตำบลบุ่งคล้าคนแรก และผ่านการบริหารของกำนันรวม 7 คน ปัจจุบันคือนายประยาน พรมพิมพ์ ดำรงตำแหน่งกำนันเมื่อปี พ.ศ. 2562 จนถึงปัจจุบัน  ส่วนนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบุ่งคล้า มีทั้งสิ้น 5 คนปัจจุบันคือ นายนริศ อาจหาญ นับเป็นการบริหารท้องถิ่นสมัยที่สอง

วิถีชุมชนที่สัมพันธ์กับภูมิอากาศและนิเวศ

          จากประวัติการตั้งหมู่บ้าน จะเห็นว่า ชาวบ้านเลือกภูมิประเทศด้วยเหตุผลดังนี้

  1. มีแหล่งน้ำ ทั้งแม่น้ำโขง ลำห้วยสาขา  ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และต้นคล้า สามารถเป็นไม้

ใช้สอยได้หลากหลายความต้องการในชีวิตประจำวัน การก่อตั้งชุมชนริมน้ำบริเวณนี้ ยังเป็นพื้นที่ปากแม่น้ำเทิน แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า แม่น้ำปากกะดิ่ง เนื่องจากไหลออกแม่น้ำโขงที่เมืองปากกะดิ่ง (แม่น้ำสายนี้ แม่น้ำสายนี้มีความยาว 138 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำหลายสายที่ไหลมารวมกันและเรียกว่า “น้ำเทิน” ได้แก่  น้ำคาตา น้ำโซค น้ำมอน น้ำเทิน น้ำน้อย น้ำเปย น้ำวัน แม่น้ำแต่ละสายมีต้นน้ำจากพื้นที่เขตอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาตินากาย-น้ำเทิน (Nakai–Nam Theun National Biodiversity Conservation Area) หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า นากาย-น้ำเทิน มีพื้นที่ประมาณ 3,445 ตารางกิโลเมตรในบริเวณเทือกเขาอันนัมและที่ราบสูงนากาย ในแขวงคำม่วนและแขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว ป่า “นากาย-น้ำเทิน” เป็นป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรรณพืชและพันธุ์สัตว์หลายชนิดที่หายาก  ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่า พื้นที่ที่แม่น้ำสาขาและแม่น้ำโขงสบกัน จะเป็นแหล่งปลาชุกชุมเพียงใด เนื่องจากเป็นเส้นทางการอพยพของปลาสองสายน้ำที่แหวกว่ายแลกเปลี่ยนกันในช่วงฤดูฝน ยามน้ำหลาก ที่เป็นฤดูกาลวางไข่  และเป็นห้วงเวลาของความอุดมสมบูรณ์ที่คนแถบนี้ได้พึ่งพาอาศัย

  • มีป่าไม้ การตั้งถิ่นฐานถูกขนาบด้วยทิวเขาในด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นเขตสปป.ลาว

ชาวบ้านเรียกภูงู บริเวณช่องเขาขาดที่แม่น้ำปากกะดิ่งไหลลงโขง จึงเป็นช่องของลมพายุที่แรงในหน้าหนาว จนลักษณะบ้านเรือนของคนที่นี่จึงไม่นิยมปลูกบ้านที่ยกสูง นอกจากนี้ ทางทิศใต้ของตำบลบุ่งคล้า ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ซึ่งมีเนื้อที่   186.5   ตารางกิโลเมตร  หรือ  116,562 ไร่   พื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว   จะเป็นพื้นที่ป่า  40%  ประมาณ  400,000  ไร่ และพื้นที่ หิน  ประมาณ  60 % หรือ 600,000  ไร่   แต่ละปีจะมีแหล่งน้ำตลอดปี  คือลำห้วยชะแนนและห้วยกะอาม  

การมีทรัพยากรป่าไม้ หมายถึง การมีไม้ใช้สอย สร้างบ้าน เป็นเชื้อเพลิง เป็นแหล่งอาหาร ยาสมุนไพร เป็นต้นน้ำ ทำให้ ตำบลบุ่งคล้า มีแหล่งน้ำน้อยใหญ่ในชุมชนจำนวนมาก มีสัตว์ป่าสำหรับเป็นอาหาร และมีสัตว์ใหญ่ เช่น ช้างป่าภูวัว มากกว่า 100 เชือก พบสถานการณ์ปัญหาช้างป่าลงมาทำลายพืชผลทางการเกษตรในปี พ.ศ.2560 (บ้านนาจานม.4 บ้านขามเปี้ย ม.7 บ้านซำบอน ม.8) เป็นต้นมา และในปี 2555 (บ้านนาจานม.4) ,2559 (บ้านซำบอน ม.8) ,2563 (บุ่งคล้าทุ่งม.2) เริ่มมีวาตภัยเกิดขึ้น สร้างความเสียหายแก่ชุมชนหลายสิบหลังคาเรือน

วิถีชีวิต และการประกอบอาชีพของชุมชนตำบลบุ่งคล้าในอดีต

การตั้งชื่อหมู่บ้านมีชื่อเรียกที่บ่งบอกลักษณะฐานทรัพยากรธรรมชาติ เช่น บ้านบุ่งคล้า  บ้านหนองคล้า (ต้นคล้า) บ้านท่าก้านเหลือง (ต้นก้านเหลือง) บุ่งกกยาง (ต้นยาง) บ้านเวินตม (น้ำ/ขี้โคลน) บ้านท่าสำราญ (บุ่ง) บ้านนาจาน (ต้นทองกวาว) บ้านขามเปี้ย (ต้นมะขามเตี้ยมาก สูง 180 เซนติเมตร) บ้านดอนจิก (ต้นจิก) บ้านดอนแพง (ต้นแพง)  บ้านซำบอน (พื้นที่ชุ่มน้ำ มีป่าบอน) บ้านโนนกะลา (ภูมิประเทศที่ตั้งหมู่บ้านที่มองดูแล้วมีลักษณะเหมือนกะลามะพร้าวผ่าครึ่งวางคว่ำหน้าอยู่ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “บ้านโนนสะอาด” ตามสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านที่มีโนนลักษณะสะอาดสะอ้าน) เป็นต้น

ในอดีต ชุมชนบุ่งคล้า มีวิถีการทำมาหากินที่พึ่งพาธรรมชาติ มีการทำนา ทำสวน ทำไร่ และการประมง ทั้งในแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำธรรมชาติ และชุมชนรอบในมีการพึ่งพิงป่าภูวัว ทั้งอาหาร สมุนไพร ไม้ใช้สอย การเก็บของป่าขาย  การประกอบอาชีพไม่ซับซ้อน ประเพณีวัฒนธรรมอยู่บนฐานธรรมชาติ

ในปัจจุบัน การประกอบอาชีพเปลี่ยนไป  แสดงได้ดังนี้

หมู่บ้านอดีตปัจจุบันอาชีพที่หายไปอาชีพที่เพิ่มมา
บ้านบุ่งคล้าใต้ หมู่ที่ 1  นาข้าวเลี้ยงโคกระบือเลี้ยงสุกรเลี้ยงเป็ดไก่ปลูกมะเขือเทศ พืชฤดูแล้งริมโขงประมงพื้นบ้าน  ยางพารานาข้าวปาล์มน้ำมันเลี้ยงโคกระบือเลี้ยงสุกรเลี้ยงเป็ดไก่ปลูกมะเขือเทศ  ประมงพื้นบ้านลดน้อยลงยางพาราปาล์มน้ำมันร้านค้า/บริการท่องเที่ยว    
บ้านบุ่งคล้าทุ่งหมู่ที่ 2  นาข้าวไม้ผล/เกษตรผสมผสานเลี้ยงโคกระบือเผาถ่านประมงพื้นบ้าน  นาข้าวยางพารามันสำปะหลังไม้ผล/เกษตรผสมผสานเลี้ยงแพะเลี้ยงสุกรเลี้ยงโคกระบือเผาถ่าน  ประมงพื้นบ้านลดน้อยลงยางพาราปาล์มน้ำมันมันสำปะหลังเลี้ยงแพะ    
บ้านบุ่งคล้าเหนือหมู่ ที่ 3  ปลูกมะเขือเทศริมโขง พืชฤดูแล้งนาข้าวเลี้ยงโคกระบือประมงพื้นบ้าน  ปลูกมะเขือเทศนาข้าวยางพาราเลี้ยงโคกระบือร้านค้า/รีสอร์ท  ประมงพื้นบ้านลดน้อยลงร้านค้า/บริการท่องเที่ยวยางพารา    
บ้านนาจาน หมู่ที่ 4  จักสานนาข้าวเลี้ยงโค-กระบือประมงพื้นบ้านหาของป่า    ร้านค้าจักสานยางพารานาข้าวกลุ่มเลี้ยงโค-กระบือร้านอาหาร  ประมงพื้นบ้านลดน้อยลงร้านค้า/บริการท่องเที่ยวยางพารา  
บ้านดอนจิก หมู่ที่ 5  นาข้าวประมงพื้นบ้าน  สวนปาล์มน้ำมันยางพารานาข้าวร้านค้าร้านอาหารประมง  ประมงพื้นบ้านหาของป่า ลดน้อยลงร้านค้า/บริการท่องเที่ยวยางพาราสวนปาล์มน้ำมัน    
บ้านดอนแพง หมู่ที่ 6  นาข้าวประมงพื้นบ้านหาของป่า  นาข้าวกลุ่มเลี้ยงโค-กระบือกลุ่มเลี้ยงหนูนากลุ่มเลี้ยงแพะกลุ่มเลี้ยงกบ-ไก่ยางพาราประมง  ประมงพื้นบ้านหาของป่า ลดน้อยลงมีการรวมกลุ่มอาชีพหลากหลายขึ้น เช่น กลุ่มเลี้ยงโค-กระบือ กลุ่มเลี้ยงหนูนา กลุ่มเลี้ยงแพะ กลุ่มเลี้ยงกบ-ไก่  
บ้านขามเปี้ย หมู่ที่ 7  นาข้าวเกษตรผสมผสานประมงพื้นบ้านหาของป่านาข้าวยางพาราร้านค้าร้านอาหารตามสั่งเกษตรผสมผสานสวนผลไม้  ประมงพื้นบ้านหาของป่า ลดน้อยลงยางพาราร้านค้าร้านอาหารตามสั่งเกษตรผสมผสานสวนผลไม้  
บ้านซำบอน หมู่ที่ 8  นาข้าวเกษตรผสมผสานหาของป่า  ร้านค้านาข้าวยางพาราปาล์มน้ำมันเกษตรผสมผสาน  หาของป่าลดน้อยลง  ร้านค้ายางพาราปาล์มน้ำมัน  
บ้านโนนสะอาด หมู่ที่ 9      1. นาข้าว     2.  เลี้ยงโคกระบือ        1. นาข้าว     2. ยางพารา     3. ร้านค้า     4. เลี้ยงโคกระบือ     5. สวนผลไม้   ร้านค้ายางพารา  สวนผลไม้      

ความเปลี่ยนแปลง มุมมอง ความเสี่ยง ผลกระทบ ภูมิคุ้มกัน การปรับตัว

จากสภาพภูมิประเทศของตำบลบุ่งคล้า ที่บรรพบุรุษมีการคัดเลือกทำเลที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งถิ่นฐานติดกับแม่น้ำโขง ทางด้านทิศเหนือ และมีแหล่งน้ำ ลำห้วย ลำน้ำสาขา จำนวนมาก ที่เป็นแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำสายใหญ่ ส่วนทางด้านทิศใต้ติดกับเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ซึ่งเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่มีสิงห์สาราสัตว์ ป่าไม้ใช้สอย แหล่งสมุนไพร และเป็นต้นน้ำสำคัญที่คอยเติมแม่น้ำโขงสายหลัก

จากคำบอกเล่าของคนในชุมชน ตำบลบุ่งคล้าในอดีตอุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารกุ้ง หอย ปู ปลา จากแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา ชาวบ้านปลูกผักริมตลิ่งรวมทั้งพืชพรรณอาหาร สมุนไพร ในป่าใกล้บ้าน  ปัจจุบันเหลืออาชีพหลัก คือ ทำนาและปลูกยางพารา การประมงท้องถิ่นกำลังสู่ภาวะถดถอย ทิศใต้เป็นผืนป่าขนาดใหญ่ ที่เป็นแหล่งอาหาร ต้นน้ำลำธาร และเป็นปอดฟอกอากาศสำหรับชุมชนแถบนี้ นอกจากนี้ ในฝั่งสปป.ลาว บริเวณที่ตั้งของชุมชนตำบลหนองเดิ่น เขตติดต่อตำบลบุ่งคล้า ยังมีแม่น้ำสายสำคัญของลาว คือแม่น้ำเทิน ส่งผลให้แม่น้ำโขงบริเวณนี้ในอดีต เคยมีปลาชุกชุม มากกว่า 100 ชนิด

                          เวลาผ่านไป 113 ปี ชุมชนได้บอกเล่าสถานการณ์ปัจจุบันว่า ประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพและความความมั่นคงทางอาหาร อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพนิเวศของแม่น้ำโขง ทั้งที่มีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกและการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในต้นน้ำของจีนและสปป.ลาว ส่งผลให้ปริมาณและชนิดพันธุ์ปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติลดลง พื้นที่ริมแม่น้ำที่ชุมชนเคยอาศัยปลูกพืชผักปลอดสารเคมี ถูกแทนที่ด้วยเขื่อนกันตลิ่งพัง แม้จะมีดินงอกจากการเปลี่ยนแปลงของทิศทางน้ำ แต่ดินก็มีสภาพที่ขาดความอุดมสมบูรณ์เป็นตะกอนทรายส่วนมาก อัตราการใช้สารเคมีทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ชุมชนอีก  6 หมู่บ้านรอบในยังเผชิญกับปัญหาช้างป่าที่มีจำนวนมากขึ้น และลงมาทำลายพืชผลทางการเกษตร แกนนำชุมชนเล่าถึงภาพการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างน่าสนใจว่า

………..เรื่องปลาบุ่งคล้าที่มีจำนวนลดลงต้องยอมรับว่าเป็นความจริง เมื่อก่อนปลาเยอะ เพราะน้ำโขงลึก แต่ปัจจุบันบุ่งคล้าของเราน้ำมีลักษณะตื้นเขิน

…………. เดี๋ยวนี้จะว่าไม่มีปลาเลยก็ว่าได้ น้ำโขงตอนนี้เรามันมีปัญหา ทั้งการประมงที่ผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นทั้งการช็อตไฟฟ้า ทำให้ปลาไม่อยู่ อย่างระดับน้ำก็ไม่ปกติ ขึ้นลงรายวัน 

……………ตั้งแต่เกิดมาน้ำโขงไม่มีเขื่อนที่แบ่งหรือกั้นน้ำโขงเราไว้ ต่อมาจีนก็มาบอกว่าแม่น้ำล้านช้างหรือแม่น้ำโขงเนี่ยเป็นของเขา เขาจะทำอะไรก็ได้ เขาก็สร้างเขื่อนกั้นน้ำโขงไว้ พอน้ำไหลไปถึงลาว ลาวก็คิดว่าแม่น้ำโขงเป็นของลาวลาวก็สร้างไซยะบุรีกั้นน้ำโขง ไม่มีไหลมาถึงบ้านเรา เราคิดว่าแม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำนานาชาติ ต่างกับที่จีนและลาวคิด สิ่งที่เราคุยกันไว้ว่าเมื่อเราหาปลามาได้ แล้วได้ตัวเล็กตัวน้อยพันธุ์มันก็นำมาอนุบาลเพื่อให้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ในอนาคต

………. ตอนนี้ปลาไม่มีบ้านอยู่ อย่างไคร้น้ำที่เคยมีก็ไม่มี บ้านเรามีแค่หิน ผมอยากปลูกต้นไคร้น้ำเพื่อเป็นบ้านให้ปลาอาศัยอยู่

………….ความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขงว่า เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา   ตลิ่งโขงถูกกัดเซาะเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงตลิ่งที่มีแผนเตรียมทำถนนสำหรับเดินริมโขงในปัจจุบัน ซึ่งในอดีตนั้นตลิ่งหรือดินฝั่งไทยไกลออกไปมากกว่า 100 เมตร  ในช่วงหลังจากที่จีนสร้างเขื่อนเสร็จยังไม่เห็นถึงผลกระทบหรือวิกฤติที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ แต่พอเขื่อนลาว “ไซยะบุรี” สร้างเสร็จ ชาวบุ่งคล้าเริ่มเห็นปัญหาที่ชัดเจนขึ้น อย่างช่วง 2 ปีหลังมานี้เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่าเดือนเมษายนน้ำจะขึ้น ซึ่งผิดฤดูกาลของน้ำในแม่น้ำโขง ไม่เพียงแต่น้ำขึ้นลงผิดฤดูกาล ยังมีปัญหาอื่นๆเพิ่มเติมมาอีกเช่น ปัจจุบันมีดินงอกเพิ่มขึ้น แต่ดินงอกที่เพิ่มขึ้นก็ถูกน้ำที่ไม่มาตามฤดูกาลกัดเซาะและเริ่มพังเป็นชั้นดิน ปัญหาต่อมาคือ ช่วงปลายปี 2565 ชาวบุ่งคล้าเริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับการรั่วไหลของน้ำในเขื่อนน้ำเทิน เกรงว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเขื่อนน้ำเทินอาจจะแตกได้ นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาในเรื่องของทรัพยากรในแม่น้ำโขงที่เปลี่ยนแปลงไป คือ ช่วง ป.5-6 อาจารย์สุภาพไปไหลมอง ได้ยกมือไหว้ขออย่าได้ปลาเยอะ (ปลาหว่า) กลัวเรือจะล่ม แต่ทุกวันนี้ต้องได้วาดรูปปลาไว้ให้เด็กดูเพราะไม่มีปลาในแม่น้ำโขงตัวเป็นๆให้เด็กได้รู้จักและสัมผัส หรือจำนวนปลาลดลงจนแทบไม่มีนั่นเอง

…………เมื่อ 70 ปีก่อน ในช่วงนั้นปลาหว่าเยอะมาก จะเห็นครีบหลังยาวของปลาหว่าลอยเต็มในแม่น้ำโขง ปลากะแตบก็เช่นเดียวกัน แต่ในปัจจุบันปลาทั้ง 2 ชนิดนี้ได้ลดน้อยลงไปจนถึงขั้นไม่มีใครจับได้แล้วก็ว่าได้  ไม่เพียงแต่ปลาในแม่น้ำโขงที่ลดลง ต้นไคร้น้ำที่เคยมีจำนวนมากในแม่น้ำโขง ปัจจุบันก็แทบไม่มีพุ่มเขียวของต้นไคร้น้ำในแม่น้ำโขงให้ได้เห็นเช่นเดียวกัน

………….ปัญหาที่วิกฤติของชาวประมงบุ่งคล้าในทุกวันนี้คือ ฝั่งเพื่อนบ้านเรามีการหาปลาที่ผิดหลักธรรมชาติหรือไปถึงขั้นที่ผิดกฎหมายด้วย นั่นคือทางฝั่งลาวได้มีการใช้เครื่องดูดปลา ส่งสัญญาณล่อปลา และช็อตปลา ซึ่งรัศมีวงกว้างที่ช็อตปลานั้นกว้างถึง 20 เมตร โดยเขาจะหว่านอาหารเพื่อล่อปลาก่อนเมื่อปลามากินอาหารเยอะมากพอเขาก็ทำการช็อต ปลาที่โดนกระแสไฟฟ้าช็อตจะลอยบนผืนน้ำ เขาสามารถเลือกเก็บเอาได้เลยว่าอยากได้ตัวไหน ส่วนมากปลาที่โดนกระแสไฟฟ้าช็อตไม่ตายก็เป็นหมัน จะไม่ให้ปลามันลดลงได้อย่างไร ในเมื่อเลือกวิธีทำมาหากินผิดๆแบบนี้ อย่างเขาไปช็อตในแต่ละวันจะได้มากถึง 200-300 กิโลกรัมต่อวัน รายได้ที่ขายได้ก็จะอยู่ประมาณ 2-3 หมื่นบาทต่อวันหรือต่อคืน อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวหารือเพื่อหาทางออกร่วมกัน

……………ปฐมบทที่ทำให้แม่น้ำโขงเหือดแห้งไปในรอบ 60 ปี นั่นคือช่วงปี 2553 ที่เขื่อนจิ่งหงที่จีนได้ปิดประตูเขื่อนลง ทำให้น้ำในแม่น้ำโขงลดลงเหือดแห้งเป้นอย่างมาก หอยหิน ที่เป็นหอยท้องถิ่นอำเภอบุ่งคล้าที่อาศัยอยู่บริเวณน้ำลึก ก็โผล่ให้ชาวบ้านทั้งในและนอกพื้นที่เข้ามาเก็บ บ้างก็ใช้คราดลากเก็บไปได้อย่างง่ายดาย ทำให้หอยหินมีจำนวนลดลงเป็นอย่างมาก ทางท้องถิ่นเล็งเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรท้องถิ่นอย่างหอยหิน จึงได้เกิดการริเริ่มการอนุรักษ์ทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างเช่นหอยหิน ก็ได้มีการทำบวชหอยที่วังอนุรักษ์ และได้ขยายผลไปยังการทำวังอนุรักษ์สัตว์อื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็น วังปลา วังกบ ปัจจุบันชาวบ้านบุ่งคล้าพึ่งพารายได้จากแม่น้ำโขงน้อยลง ทางท้องถิ่นจึงพยายามที่จะสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะผลักดันให้บุ่งคล้ากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวริมโขงที่นักท่องเที่ยวต้องมาชม ไม่เพียงแต่ความสวยงามของริมโขง แต่ยังมีวิถีชีวิตไทญ้อที่เป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกด้วย

…………….ปัจจัยเสริมที่ต้องทำเพิ่มคือ ต้องมีการสร้างความเข้าใจ มีการตั้งกลุ่มและปรึกษาหารือร่วมกันทั้ง 9 หมู่บ้าน และกิจกรรมที่อยากให้เพิ่มคือปลูกต้นไคร้น้ำเพื่อสร้างบ้านให้ปลา และประสานงานกับหน่วยงานต่างๆเพื่อให้กิจกรรมที่ทำเกิดประโยชน์อย่างสูงสุดและมีสถานะคงอยู่ที่ถาวร

” …….ผมเห็นตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ใส่ปลาก็ได้ปลา และส่วนที่จะเอาปลาที่เพาะพันธุ์ไปปล่อยลงแม่น้ำโขง ผมกลับมีความเห็นว่านำพันธุ์ปลาเหล่านั้นมาเพาะอนุบาลจะดีกว่าไหม เอามาอนุบาลแล้วแจกจ่ายให้ชาวบ้านเอาไปเลี้ยงขยายพันธุ์ต่อเพื่อจะได้กินได้ขาย เพราะถ้าปล่อยลงแม่น้ำโขงเราก็ไม่รู้ว่าปลาจะไปไหน จะรอดหรือจะตาย และจากการสำรวจข้อมูลพบว่าแม่น้ำโขงอำเภอบุ่งคล้าของเรา ได้รับผลกระทบ จำนวนปลาจะลดลงมากที่สุด

……………ในส่วนของกิจกรรม น่าจะมีองค์กรรับผิดชอบแต่ละหมู่บ้าน  แต่ละหมู่บ้านมีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือ ดูแลกัน

…………….เราทำเรื่องของความมั่นคงทางด้านอาหาร นี่คือสิ่งที่เราในโครงการนี้ และส่วนหนึ่งที่ต้องขับเคลื่อนต่อคือการทำนาปรัง เน้นเรื่องของอาชีพ เพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพที่มั่นคง

……………..บุ่งคล้าเป็นอำเภอที่มีศักยภาพและวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัด รวมถึงมีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่โดดเด่น จึงได้มีการผลักดันให้พื้นที่บุ่งคล้ากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมวิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำไทญ้อ การท่องเที่ยวคือการร่วมมือกันของคนในพื้นที่เพื่อต่อยอดให้เกิดรายได้ขึ้นภายในชุมชน

…………..บุ่งคล้ามีวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่ดีงาม มีประวัติเรื่องเล่าที่สามารถต่อยอดให้เกิดการท่องเที่ยวให้เกิดการท่องเที่ยวที่เป็นจุดเด่นโดยการหาความเป็นเอกลักษณ์ของชาวบุ่งคล้าให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต การประมง ประเพณี ภูมิปัญญา ความเชื่อ ที่สามารถบูรณาการร่วมกันเพื่อให้เกิดเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน คือต้องมีการทำแผนที่การท่องเที่ยวในชุมชน โดยมีมัคคุเทศก์นำเที่ยว รวมไปถึงการทำผลิตภัณฑ์หรือสินค้าOTOP ทางวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวในชุมชนอย่างยั่งยืน

……………ในส่วนของน้ำโขง เป็นแม่น้ำนานาชาติ ดังนั้นหลายประเทศที่มีแม่น้ำโขงไหลผ่านจึงเกิดการแย่งชิงน้ำกันเกิดขึ้น โดยเฉพาะจีนที่อยู่ต้นเขื่อนที่กักน้ำ/ผันน้ำไว้ใช้ ไม่ใช่มีเพียงแต่แม่น้ำโขงที่จีนสร้างเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ ยังมีแม่น้ำพรหมบุตรที่อินเดีย ที่จีนมีแผนจะสร้างเขื่อนเพื่อกั้นน้ำไม่ให้ไหลผ่านหรือไหลผ่านออินเดียน้อยลงเช่นกัน เมื่อน้ำโขงกำลังเจอกับวิกฤติน้ำลดลง เราทุกคนควรร่วมกันคืนน้ำให้แม่น้ำโขง โดยการอนุรักษ์ต้นไม้ เพิ่มป่าชุมชนเพื่อให้ต้นไม้ได้คายน้ำได้ไหลลงสู่แม่น้ำโขง เกษตรริมโขงก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย

…………….ประวัติแต่ละหมู่บ้านในบุ่งคล้าถูกจัดทำไว้บ้างแล้วในช่วงที่บุ่งคล้ายังอยู่กับตำบลหนองเดิ่น ในอดีตนั้นเกิดการระบาดของโรคอหิวตกโรคทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายหมู่บ้าน โดยการนำทีมของท่านขุนกระจ่างและกลายมาเป็นบุ่งคล้าทุกวันนี้  แต่ก่อนยังไม่มีถนน ใช้เรือสัญจรเป็นหลัก ชาวบ้านจะหากินได้ง่ายเพราะทรัพยากรที่อยู่ทั้งในและริมโขงอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ซึ่งต่างกันจากปัจจุบัน และจากที่เกิดน้ำท่วมหนักในปี 2561 ตอนนี้เองทางท้องถิ่นกำลังขับเคลื่อนโครงการภัยพิบัติและหาแนวทางการซ้อมแผนอพยพถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้นจริง

……………เรื่องการอนุรักษ์วังปลา กบ เขียด สัตว์น้ำที่มีในพื้นที่ที่ทางท้องถิ่นได้ดำเนินการมาแล้วจะมีที่วังกุดกว้าง ที่บ้านบุ่งคล้าหมู่ 1 และหมู่ 3 ทำร่วมกัน ในทุกๆปีจะมีการฟื้นฟูการทำวังอนุรักษ์ ปรับปรุงทัศนียภาพ

……………..ทำงานอนุรักษ์แม่น้ำโขง กิจกรรมแรกที่สภาองค์กรชุมชนบุ่งคล้าได้ทำในพื้นที่ คือ บวชหอย  ซึ่งกลายเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์สัตว์ชนิดอื่นในพื้นที่ต่างๆ และทางสภาองค์กรชุมชนบุ่งคล้าเองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและกังวลถึงเรื่องภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของเขื่อนน้ำเทิน 1 ซึ่งอยู่ห่างจากบุ่งคล้าเพียงแค่ 20-30 กิโลเมตร จึงได้บูรณาการให้มีทีมเยาวชนบุ่งคล้าเข้ามาช่วยในการเก็บข้อมูลภาคสนาม “

ข้อความที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนอย่างหลากหลายได้แสดงถึงนัยะการปรับตัวชุมชนที่ผ่านมาด้วย  ไม่ว่าจะเป็น การเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลง การสำรวจ รวบรวมข้อมูลสถานการณ์ปัญหา ผลกระทบ และการจัดทำกิจกรรมการปรับตัว เช่น การฟื้นฟูอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ การจัดทำเขตอนุรักษ์ การวางแผนสำรวจข้อมูลเพื่อค้นหาแนวทางการปรับตัวเพิ่มเติมการจัดการการท่องเที่ยวเชิงวิถีวัฒนธรรม การปลูกต้นไม้เพิ่มเติมเพื่อรักษาป่าต้นน้ำ   การป้องกันแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ การแก้ไขปัญหาช้างป่าที่ทำลายพืชผลทางการเกษตร และการประสานแผนงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมประมง กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย  สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน มูลนิธิอุทกพัฒน์ โขง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กระทรวงการพัฒนาสังคมเพื่อความมั่นคงของมนุษย์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม  สถาบันวิชาการ ตลอดจนสื่อมวลชน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลง

จากการสำรวจข้อมูลและสนทนากลุ่ม ชาวบ้านบุ่งคล้าตั้งข้อสังเกตสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของชุมชน โดยเฉพาะแม่น้ำโขงที่ส่งผลกระทบในหลายด้าน ว่าเกิดจากการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง การดูดหิน ดูดทราย และการก่อสร้างเขื่อนกันตลิ่งพังตลอดแนวโขง รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงที่มนุษย์สร้างขึ้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งกล่าวถึงได้ดังนี้

ปัจจัยเรื่องการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง ชาวบ้านแต่ละพื้นที่ ได้เห็นพ้องถึงห้วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำโขง ออกเป็นสามห้วงเวลากล่าวคือ

ระยะแรก ก่อนมีเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง

จากข้อมูลมือสองที่นำเข้าประกอบการพูดคุย พบว่า ช่วงก่อนมีเขื่อนใดๆในแม่น้ำโขง คือก่อนปี 2536 ชุมชนยืนยันตรงกันว่า แม่น้ำโขงทำหน้าที่อย่างปกติ ขึ้นลงตามฤดูกาล และมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ คนในชุมชนได้พึ่งพาอาศัย การขึ้นลงของน้ำเป็นไปตามธรรชาติ จะมีน้ำท่วมใหญ่ ตามปริมาณฝนที่ตก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ เช่น ปี 2509

ระยะที่มีการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงสายหลัก (ปี พ.ศ.2536-2560)

ช่วงนี้มีการก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงสายหลัก จำนวน 8  ตัว  โดยเรียงลำดับคือ เขื่อนม่านวาน ตัวแรก เสร็จในปี 2538 เขื่อนต้าเฉาชาน สร้างเสร็จปี 2546 เขื่อนม่านวานขั้นที่ 2 สร้างเสร็จปี 2550 เขื่อนจิ่งหง สร้างเสร็จปี 2552 เขื่อนเสี่ยวหวาน สร้างเสร็จปี 2553 เขื่อนนัวจาตู้และกอนเฉาเกียว สร้างเสร็จปี 2555 เขื่อนโชวตู สร้างเสร็จปี 2557 ในช่วงนี้ ชุมชนริมโขงภาคอีสาน เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ น้ำขึ้นลงในช่วง 2-3 วันและผิดฤดูกาลอีกทั้งมีเหตุการณ์สำคัญๆที่สังเกตได้ ซึ่งสอดคล้องกับระยะเวลาที่สร้างเขื่อนแต่ละตัวเสร็จ อาทิ ปี 2551 น้ำโขงเอ่อท่วมฉับพลันตลอดทั้ง 7 จังหวัดภาคอีสานทั้งที่ฝนในพื้นที่ตกไม่มาก และไม่มีการเตือนภัยเรื่องระดับน้ำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างทันท่วงที ในปี 2553 เกิดปรากฎกาณ์น้ำโขงแห้งสุดในรอบ 60 ปี ซึ่งพบว่าเป็นปีที่เขื่อนจิ่งหงและเขื่อนเสี่ยวหวานสร้างเสร็จเริ่มกักเก็บน้ำ และในปี 2556 น้ำท่วมหน้าหนาว กลางเดือน ธันวาคม เนื่องจากมีฝนตกในจีน และเขื่อนทำการระบายน้ำ ส่งผลให้น้ำท่วมแปลงพืชผักของชาวบ้านตลอดแนวโขง จนปรากฏตามหน้าสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง  

ระยะที่มีการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงสายหลัก (ปี พ.ศ.2561-ปัจจุบัน)

ชาวบ้านน้ำโขงบุ่งคล้า ต่างให้ข้อมูลตรงกันว่า ตั้งแต่ปีกลางปี 2560 เป็นต้นมา แม่น้ำโขงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แทบจะขึ้นลงรายวันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งในห่วงเวลาดังกล่าว มีการก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงสายหลักเพิ่มเติมอีก 6 ตัว คือ เขื่อนแหมียวเหว่ย และเขื่อนต้าหัวเฉียว สร้างเสร็จปี 2561 เขื่อนเหวงเติ้ง และวุ่นอ่องหลง  สร้างเสร็จปี 2562 ประกอบกับ เขื่อนไซยะบุรี ในสปป.ลาว ซึ่งอยู่ห่างอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยในระยะ 300 กม. สร้างเสร็จและเริ่มปั่นกระแสไฟฟ้าตั้งแต่กลางปี 2561 ส่งผลให้แม่น้ำโขงเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่ทดลองปั่นไฟในกลางเดือนกรกฎาคม 2562 ส่งผลให้แม่น้ำโขงในฤดูฝนลดฮวบฮาบ 3-4 เมตรในวันเดียว และโดยเฉพาะเมื่อเปิดทำการเดินเครื่องส่งกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในเดือนตุลาคม 2562 แม่น้ำโขงมีระดับน้ำตำลง ไหลเอื่อย และกลายเป็นสีฟ้าตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 ถึงพฤษภาคม 2563 จากนั้น แม่น้ำโขงก็อยู่ในภาวะคาดเดาไม่ได้ แห้งสุด และผันผวน ขึ้นลงรายวัน จนถึงปัจจุบัน

ปัจจัยเรื่องการดูดทราย การดูดหินดูดทรายตลอดแนวโขง เกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ท้องน้ำเปลี่ยนแปลง การเอาหินกรวด ทราย ทำให้ท้องน้ำลึกขึ้น หิน เป็นที่ยึดเกาะ  ของไข่ปลา เป็นที่อยู่อาศัยของแมลงผิวดิน อาหารปลาหลากหลายชนิด เช่น แมงอีเนี้ยว การดูดทราย ยังรวมการทำลายต้นไคร้น้ำ พืชน้ำทุกชนิด ซึ่งเสมือนบ้านปลาไปด้วย กรณีบุ่งคล้า มีการดูดทรายในพื้นที่ตำบลใกล้เคียงตลอดแนว และเกิดการพังทลายของตลิ่ง ตะกอนทรายย้ายที่ พัดพามาทับถมบริเวณหาดท่าสำราญ ทำให้เกิดดินงอกกว่า 200 ไร่

ปัจจัยเรื่องการสร้างเขื่อนกันตลิ่งพัง ชาวบ้านที่เคยพึ่งพาพื้นที่ริมโขงเพื่อเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ได้สูญเสียพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ไปมาก  เนื่องจากการทำเขื่อนด้วยหินภูเขา ซึ่งแต่ละแห่งมีการทำเขื่อนกันตลิ่งพังไม่พร้อมกัน  พืชริมน้ำหายไป ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งที่หลบซ่อน ที่เกาะยึดวางไข่ ตลิ่งโขงที่เป็นที่อยู่ของไส้เดือนแม่น้ำโขง หรือขี้ถักแถ่ ยาวขนาด 1 เมตร ซึ่งเป็นอาหารปลา พื้นที่ริมตลิ่งยังเป็นที่วางไข่ของนกนานาชนิด ก็หายไปด้วยนอกจากนี้พืชริมตลิ่งที่เป็นอาหารของปลา เช่น ต้นมะเดื่อ ปอสา ตะขบ ก็หายไปเช่นกัน

ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงด้านสภาวะภูมิอากาศ ที่ชุมชนเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงได้คือ ปริมาณน้ำฝน และอุณหภูมิ ที่มีความแปรปรวน แล้งจัด น้ำท่วม และหนาวจัด ส่งผลต่อการใช้ชีวิต การปลูกพืช   และโดยเฉพาะอุทกภัย ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เช่น ชุมชนตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนนี้ ฝนตกหนัก จะก่อให้เกิดอุทกภัยแต่เป็นที่คาดเดาได้ แต่ในระยะหลังๆจะมีการตกในปริมาณที่ยากจะคาดเดา บางปีแล้ง บางปีตกมาก และสร้างความเสียหายที่แตกต่างกัน ซึ่งในอดีตจะได้รับผลกระทบเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำโขง แต่ภายหลังมักจะสร้างความเสียหายให้เกือบทุกชุมชน และมีปรากฎการณ์แปลกใหม่เกิดขึ้น เช่น ดินงอก บั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นในแม่น้ำโขง ชุมชนบันทึกข้อมูลการเปลี่ยนแปลในห้วงเวลาต่างๆดังนี้

  • ปีพ.ศ. 2509  พื้นที่ริมโขงบ้านบุ่งคล้าม.1,บุ่งคล้าเหนือ ม.3,บ้านดอนจิกม.5,บ้านซำบอน ม.8
  • ปีพ.ศ. 2514 บ้านโนนสะอาด ม.9
  • ปีพ.ศ. 2516 พื้นที่ริมโขงบุ่งคล้าม.1,บุ่งคล้าเหนือ ม.3, บ้านดอนจิก ม.5
  • ปีพ.ศ. 2519 บ้านดอนจิก ม.5
  • ปีพ.ศ. 2522 บุ่งคล้าทุ่ง ม.2
  • พ.ศ.2557 มีปรากฎการณ์ทางธรรมชาติสำคัญเกิดขึ้นคือ บั้งไฟพญานาค ขึ้นในแม่น้ำโขงในคืนวันสิ้นปีก่อนวันขึ้นปีใหม่ สังเกตเห็นได้ในบริเวณแม่น้ำโขงบ้านบุ่งคล้าเหนือ ม.3
  • ปีพ.ศ. 2560 เกิดดินงอกริมโขง และเริ่มพัฒนาเป็นหาดท่องเที่ยวท่าสำราญในฤดูน้ำลด ภายหลังเป็นพื้นที่เพาะปลูกเกษตรฤดูแล้ง
  • ปีพ.ศ. 2561 น้ำท่วมทุกชุมชน
  • ปีพ.ศ. 2564 น้ำท่วมทุกชุมชน

ผลกระทบต่อชุมชน

ประเด็นผลกระทบอดีตปัจจุบันสาเหตุ
ชนิดพืชพรรณและป่าไม้  
 พืชริมตลิ่งและเกาะกลางโขงที่เป็นอาหารคน อาหารปลา มีกว่า 15 ชนิด เช่น ผักกุ่ม ผักชีช้าง ต้นอ้อ ผักหมเกลือ ผักแว่นทราย ผักเขี้ยวไก้ ผักกะเติก ผักขี้ขม เทา/ไก หมากไหล หมากแฟบ หมากเขือน้ำ หมากส้มโฮง ต้นไคร้นุ่น ต้นไคร้น้ำ  นอกนั้นเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกริมฝั่ง เช่น พริก มะเขือเทศ มันแกว ข้าวโพด ยาสูบ เหลือ 5 ชนิดคือ ผักชีช้าง ผักกุ่ม ผักหม หมเกลือ และเพิ่มปริมาณขึ้นคือ หน่ออ้อ และเทาหรือไกน้ำขึ้นลงผิดฤดูกาล ตะกอนทราย เกาะดอน ย้ายที่ พืชน้ำหายไปด้วย
ปลา นก แมลงต่างๆ  
 ชาวประมงบุ่งคล้าเคยระบุพันธุ์ปลาที่เคยมีในแม่น้ำโขงเมื่อปี 2554-2556 จำนวน 93 ชนิด แมลง เคยมีแมงปอ ชีปะขาว ไส้เดือน สัตว์น้ำอื่นๆ เคยมีกุ้ง หอยหิน หอยกาบ หอยทราย หอยลายน้ำโขง นก มีหลากหลายชนิด มีหนู และสัตว์อื่นๆ ริมตลิ่งและเกาะกลางโขงมากกว่า 10 ชนิด ชาวประมงบุ่งคล้าระบุปลาที่คงเหลือจำนวน 15 ชนิด คือ ปลาคัง ปลาแข้ ปลาโจก ปลาเพี้ย ปลาอีเก้ง ปลาหน้าหนู ปลากด  ปลายอนลาย ปลาขาวทราย ปลาหมู ปลาแกง ปลาหมากบาน ปลาหลาด ปลาไน และปลาที่เพิ่มมากขึ้นในเชิงปริมาณคือ ปลาตะเพียน เริ่มทำเขตอนุรักษ์วังหอย วังปู กบ เขียด ในแหล่งน้ำลำห้วยสหาย  ระดับน้ำเปลี่ยนแปลงรายวัน น้ำไม่หลากเข้าลำห้วย แม่น้ำโขงกว้างขึ้นตื้นเขินขึ้น  ปลาไม่เข้าห้วย และน้ำเทิน /น้ำปากกะดิ่ง มีการก่อสร้างเขื่อนน้ำเทิน 1 และในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผลต่อการลดลงของปริมาณสัตว์น้ำ และสัตว์อื่นๆ  ชาวบ้านระบุว่า เกิดจากการจัดการน้ำของเขื่อนกั้นน้ำโขงกักน้ำไว้  และเขื่อนกันตลิ่งพัง ที่ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทาง และน้ำใส ทำให้เกิดไกจำนวนมาก ปลาที่เพิ่มขึ้นมาคือปลากินพืช เช่นตะเพียน ปลาลดลงทั้งปริมาณและชนิดพันธุ์
เกาะแก่ง ดอน  
 แม่น้ำโขงที่ไหลผ่านบริเวณนี้ ในฤดูแล้งจะเคยเห็นดอนและหาดชัดเจน คือ ดอนกลางน้ำบริเวณปากกระดิ่ง ในต.หนองเดิ่น หาดสำราญต.บุ่งคล้า และดอนกลาง ต.โคกกว้าง ระบบนิเวศบ่อยประกอบด้วย หนอง เวิน  ดอน หาด ห้วย ลวงมองแก่งขี้นก ในบริเวณต.หนองเดิ่น หายไป สภาพเกาะ ดอนเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มีทั้งหายไปและงอกใหม่กระแสน้ำเปลี่ยนแปลง น้ำขึ้นลง ตะกอนทรายย้ายที่
ทราย หาด  
 หาดสำราญ ต.บุ่งคล้าเกิดสันดอนเกิดใหม่ติดหาดท่าสำราญ ตั้งแต่หมู่ 3 ถึงหมู่ 1 ต.บุ่งคล้างอกใหม่ ประมาณ 200 ไร่  พื้นที่เกษตรริมโขงต.หนองเดิ่นหายไปทั้งหมด เนื่องจากหาดทรายหาย  แต่มีหาดทรายขาวไปโผล่ที่ฝั่งสปป.ลาวตะกอนทรายย้ายที่เพราะน้ำขึ้นลง ทิศทางน้ำเปลี่ยน ปริมาณน้ำในแต่ละฤดูกาลไม่เป็นธรรมชาติ
หนอง บึง ลำน้ำเล็กๆ บุ่ง  
 มีหนองน้ำธรรมชาติจำนวนมาก และมีลำห้วยเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงโดยตรง เป็นช่องทางที่ปลาจากแม่น้ำโขงจะว่ายเข้ามาผสมพันธุ์วางไข่ และเจริญเติบโตช่วงฤดูฝน และเป็นแหล่งประมงของชุมชน เช่น หนองบึงใหญ่ หนองแวง ห้วยสหาย ห้วยขามเปี้ย ห้วยบังบาตร  ห้วยภูทอก ห้วยหนองเดิ่น ห้วยเล็บมือ    ลำน้ำตื้นเขิน และมีลำห้วยกุดแคนต.บุ่งคล้าตอนล่างหายไป หมดสภาพลำห้วย 
แหล่งท่องเที่ยว  
 หาดท่าสำราญ ต.บุ่งคล้า ได้หาดใหม่ ยังไม่มีชื่อ พื้นที่กว่า 200 ไร่น้ำท่วมหน้าแล้ง แห้งหน้าฝน ขึ้นลงผิดปกติ
เรือ  
 ตำบลบุ่งคล้าเคยมี 70 ลำ ทำหน้าที่หาปลา  ตำบลบุ่งคล้า คงเหลือ 22 ลำยังคงหาปลา อีก เกือบ 50 ลำทำหน้าที่ขนสินค้าข้ามฟากบริเวณจุดผ่อนปรนละทิ้งอาชีพประมง และไปทำหน้าที่รับจ้าง เนื่องจากหาปลาไม่ได้เหมือนเดิม
เครื่องมือหาปลาทุกชนิด  
 ตำบลบ่งคล้า เคยมีเครื่องมือ 8 ชนิด เช่น เบ็ด มอง ขา จั่น ลอบ ตุ้ม มองอู่ มองลากตำบลหนองเดิ่นเหลือเครื่องมือ 2 ชนิด บุ่งคล้ายังเหลือ  8 ชนิดชาวประมงลดลง เพราะน้ำโขงผิดปกติจากเขื่อนกั้นน้ำโขง
พิธีกรรม
 ไหลเรือไฟ แข่งเรือ ลอยกระทง เลี้ยงลวงมองเลี้ยงขึ้น เลี้ยงลงยังมีเหมือนเดิม แต่สถานที่เปลี่ยนทุกปี เนื่องจากร่องน้ำลึกเปลี่ยน ย้ายสถานที่จัดงานทุกปีน้ำโขงผิดปกติจากการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนกั้นน้ำโขง

กระบวนการปรับตัวเพื่อจัดการความเสี่ยง ลดผลกระทบ สร้างภูมิคุ้มกัน

          1. การสร้างทางเลือกอาชีพที่หลากหลาย ทั้งพืชเศรษฐกิจ การรวมกลุ่มเพื่อรวมผลผลิต และต่อรองทางการตลาด การขอทรัพยากรสนับสนุนจากหน่วยงานราชการที่ต้องมีเงื่อนไขการรวมกลุ่ม การทำเกษตรผสมผสานเพื่อลดความเสี่ยงการตลาดและเป็นการเพิ่มอาหารในครัวเรือน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า มีจำนวนกลุ่มในชุมชนจำนวนมาก และเป็นกลุ่มสนใจ ที่พยายามรวมตัวกันทำกิจกรรมขอรับการสนับสนุนทรัพยากรจากหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ชุมชนประสานงานได้

2. การวางแผนพัฒนาและฟื้นฟูสิ่งที่ชุมชนเคยมีในอดีต เช่น จัดทำเขตอนุรักษ์แหล่งอาหาร  เขตอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ  การจัดการท่องเที่ยวชุมชน การฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรม การสืบค้นประวัติศาสตร์ชุมชนเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมชนเผ่าไทญ้อ

3. การวางแผนและพัฒนาเมืองตามฉากทัศน์ของชุมชน เช่น การปรับปรุงภูมิทัศน์ริมโขง  การประสานหน่วยงานเพื่อจัดทำแผนพัฒนาเมืองอย่างมีทิศทาง การจัดเทศกาลสำคัญๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น แข่งเรือยาวสองฝั่งโขง ความพยายามเชื่อมโยงการค้าขายสองฝั่งโขง การศึกษาข้อมูลผลกระทบการเปลี่ยนแปลงแม่น้ำโขง การจัดการดินงอกและวางแผนการผลิตในพื้นที่ริมโขง การจัดการน้ำชุมชน การจัดทำแผนป้องกันภัยพิบัติทางน้ำ การแก้ไขปัญหาช้างป่าทำลายผลผลิตทางการเกษตรร่วมกับหน่วยงานและพื้นที่ตำบลอื่นๆรอบเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว

ผลที่เกิดขึ้น

1. มีการทบทวนข้อมูลและอภิปรายต่อยอด และนำใช้ข้อมูลในการทำกิจกรรมเพื่อแก้ไขปัญหา

2. กลุ่มอาชีพ กลุ่มทางสังคม ที่ร่วมโครงการมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีบทบาทโดดเด่น ทำกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น กลุ่มสตรีปลูกผักปลอดสารพิษ กลุ่มโฮมเสตย์เฮือนไทญ้อ กลุ่มเยาวชนและกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มสนใจป้องกันแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ การฟื้นฟูเขตอนุรักษ์  มีสภาองค์กรชุมชนตำบลมี่ทำหน้าที่ประสานแผน ประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3. เห็นแนวโน้มแผนการปรับตัวของชุมชน ที่ชัดเจนมากขึ้น ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน

สิ่งที่จะดำเนินการต่อไป

1.ภายใต้แผนงานที่ออกแบบไว้ จะเป็นการนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ เพื่อวิเคราะห์พูดคุยกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อทำกิจกรรมการปรับตัว เช่น จัดทำเขตอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ฯทั้ง 4 แห่ง การเพาะพันธุ์กบ เขียด บริการสมาชิก และปล่อยในเขตอนุรักษ์

2. พัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชนในการจัดทำข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร

 คำถามที่อยากขอคำปรึกษาจากผู้ทรงฯ

  1. แนวทางการศึกษาและยกระดับสร้างความเข้าใจ ความตระหนักของชุมชนเกี่ยวกับการ

เปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศโลก

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีสาเหตุเกิดจากหลายส่วน และมนุษย์เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการ

เปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศโลก และส่งผลย้อนกลับมาสู่ชุมชนเอง   การตั้งคำถาม เพื่อแลกเปลี่ยนให้ผู้คนตระหนักตลอดจนพูดคุย เพื่อกำหนดแนวทางลดผลกระทบจึงค่อนข้างสร้างความเข้าใจได้น้อย และขึ้นอยู่กับแนวทางการศึกษาวิจัย ข้อมูล เทคโนโลยี ที่เป็นเรื่องต้องใช้ทรัพยากร ระยะเวลา ตลอดจนปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก  เช่น

  • กรณีการจัดการน้ำของเขื่อนในแม่น้ำโขง และประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีสาเหตุจากความต้องการการ

ผลิตกระแสไฟฟ้า ทำให้ระดับน้ำขึ้นลงผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อชุมชน ลำน้ำสาขา และระบบนิเวศ ปริมาณ ชนิด ความหลากหลายของทรัพยากรสัตว์น้ำโดยรวม  และส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่บางปี มีฝนตกน้อย ทำให้น้ำต้นทุนน้อย แนวทางลดผลกระทบ คือ พยายามฟื้นฟูบ้านปลา ปลูกต้นไคร้น้ำ ทำเขตอนุรักษ์ปลา กบ เขียด   

  • กรณีการสร้างเขื่อนน้ำเทิน 1 ที่อยู่ห่างบุ่งคล้าเพียง 33 กิโลเมตร และในฤดูฝนปี 2565 เขื่อนน้ำ

เทินมีการรั่วซึม ชุมชนอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อภัยพิบัติ แนวทางลดผลกระทบคือ การสำรวจข้อมูลกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบาง ในชุมชนติดแม่น้ำโขง คือ หมู่ที่ 1 หมู่ที่ 3 และค้นหาคำตอบผ่านการจัดทำแผนเผชิญภัยพิบัติ  ซึ่งต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ

  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปริมาณน้ำฝนที่ยากจะคาดเดา และการจัดการน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้เกิดอุทกภัยตำบลบุ่งคล้า  ในปี 2561 จากสภาพภูมิประเทศการตั้งชุมชนเป็นที่ราบอยู่ระหว่างเทือกเขาภูวัวกับแม่น้ำโขง มีหนองน้ำธรรมชาติเป็นจำนวนมาก (เช่น หนองแวง, หนองทุ่มใหญ่, หนองกลางแซง) ซึ่งรับน้ำผ่านลำห้วยสายย่อยต่าง ๆ (เช่น ห้วยห้วยกระต๋อย, ห้วยปุ่ง, ห้วยกกจาน, ห้วยกวางเขา, ห้วยหนองแท่ง, ห้วยหนองดินแดง) และรวมเป็นลำห้วยสายใหญ่คือ ห้วยขามเปี้ย และห้วยสหาย ไหลลงสู่แม่น้ำโขง การจัดการน้ำชุมชนที่ตำบลบุ่งคล้าได้ออกแบบการบริหารจัดการน้ำ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำโขงท่วมในปี 2561 ได้ เนื่องจากแม่น้ำโขงเริ่มมีระดับสูงตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมและล้นตลิ่งต่อเนื่องไปจนถึงกลางเดือนกันยายน 2561 ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่ทำกินและหมู่บ้านที่ตั้งติดแม่น้ำโขงของตำบลบุ่งคล้าทั้งหมด รวมทั้งแม่น้ำโขงได้ไหลย้อนเข้าไปตามลำห้วยสำคัญ 2 สายคือ ห้วยขามเปี้ย และห้วยสหาย ประกอบกับ สภาพฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำหลากจากภูวัว ไหลลงมาสมทบไม่สามารถระบายออกแม่น้ำโขงได้  น้ำจากแม่น้ำโขงในเขตตำบลบุ่งคล้ายังคงได้รับอิทธิเช่นเดียวกับเขตพื้นที่ริมโขงตำบลอื่นๆ คือน้ำที่ปล่อยลงมาจากเขื่อนในลาว ได้แก่ เขื่อนน้ำงึม 1, เขื่อนน้ำมาง 3 และเขื่อนน้ำเงี๊ยบ ด้านตรงข้ามตำบลบุ่งคล้า ในประเทศลาวคือปากกระดิ่ง ซึ่งมีเขื่อนน้ำเทิน 1, เขื่อนน้ำเทิน 2 และเขื่อนเทิน-หินบูน มีเพียงเขื่อนน้ำเทิน 1 เท่านั้นที่ระบายน้ำลงสู่ปากกระดิ่ง แต่อีกสองเขื่อนได้ผันน้ำลงสู่แม่น้ำเซบั้งไฟ และแม่น้ำหินบูน ตามลำดับ ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงด้านท้ายน้ำในเขต อ.ธาตุพนม และอ.ท่าอุเทน ของ จ.นครพนม อย่างไรก็ตามก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการหนุนของแม่น้ำโขงด้านท้ายน้ำ ทำให้แม่น้ำโขงในบริเวณ จ.บึงกาฬไม่สามารถระบายได้เร็ว ยังคงระดับสูงเกือบตลอด 2 เดือนในช่วง สิงหาคม ถึง กันยายน น้ำท่วมครั้งนั้น มีพื้นที่ประสบภัย 8 หมู่บ้าน เกษตรกร 181 ราย พื้นที่นาข้าวเสียหาย 1,304  ไร่ พืชสวนอื่นๆ  55.25 ไร่ เป็นเงินช่วยเหลือ 1,544,724.50 บาท ส่วนบ่อปลาจำนวน 61.84 ไร่ 127 ราย เป็นเงินช่วยเหลือ 261,274 บาท (ข้อมูลสำนักงานเกษตรและสำนักงานประมงอำเภอบุ่งคล้า 2561) อย่างไรก็ตามความเสียหายไม่ครอบคลุมต่อบ้านเรือน การซ่อมแซมสาธารณะ ต้นทุนการผลิตทางการเกษตร อาชีพที่แท้จริง รวมทั้งการเสียโอกาสในการประกอบอาชีพช่วงน้ำท่วม
  • กรณีช้างป่าภูวัว ที่ขาดการสำรวจอัตลักษณ์และติดจีพีเอส ว่ามีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ แต่หน่วยงาน

ประเมินคร่าวๆว่า เมื่อปี พ.ศ. 2541  ช้างป่าภูวัวจะมีอยู่ประมาณ  46  เชือก ปัจจุบันนี้น่าจะมีประมาณ  100 เชือก  เพราะช้างตัวเมีย  1  ตัวจะออกลูก  10  ปีต่อครั้ง    ซึ่งจะต้องสำรวจข้อมูลช้างให้ชัดเจน  ตอนนี้ข้อมูลช้างป่าภูวัวมีไม่ชัดเจน ที่ลงมาหาอาหาร ทำลายพืชผลทางการเกษตร และทำร้ายคนเสียชีวิต  ในเขตชุมชนที่ติดป่าภูวัว จำนวน 3 หมู่บ้าน ในเขตพื้นที่ตำบลบุ่งคล้าคือ  บ้านนาจาน หมู่ที่ 4  บ้านขามเปี้ย  หมู่ที่ 7 บ้านซำบอน หมู่ที่ 8  จากการระดมความเห็นพบว่าในอดีต ช้างป่าจะลงมาตามฤดูเช่นช่วง หว่านกล้า  กำลังออกผลผลิต  ปลายฝนต้นหนาว  แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาช้างจะลงมาตลอดทั้งปี และขยายพื้นที่หากินออกไปเรื่อยๆ เช่น เดือนมีนาคม จะพบช้างลงมา เนื่องจากแหล่งน้ำบนเขาแห้ง และสาเหตุโดยรวมเกิดจาก การลดลงของพื้นที่ป่าซึ่งเป็นแหล่งอาหารอาหารของสัตว์ป่า การเกิดไฟป่า การรุกป่าของชุมชน การเผาป่าเพื่อล่าสัตว์ เก็บของป่า เอาต้นแขมมาทำไม้กวาด แหล่งน้ำสำหรับช้างป่ามีสารเคมีปนเปื้อน เป็นพิษเนื่องจากการใช้สารเคมีของมนุษย์ในการจับสัตว์น้ำบนภูเขา  โครงการพัฒนาของหน่วยงาน จำนวนช้างป่าที่เพิ่มมากขึ้น ขาดการควบคุมจำนวน ขาดแผนในการจัดการให้ช้างกับป่าและชุมชนอยู่ร่วมกันได้ การขาดงบประมาณ แนวทางจัดการที่ชัดเจน  ขาดการเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะโลกร้อน และแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกับอีก 5 ตำบลรอบป่าภูวัว

  • ข้อแนะนำเชิงประเด็นที่ควรยกระดับ ศึกษาต่อเนื่องของตำบลบุ่งคล้า
       ภาพกิจกรรมและเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 

ประสานงานและประชุมสภาองค์กรชุมชนตำบลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ประชุมเยาวชนออกแบบเครื่องมือ และสำรวจข้อมูล

                                    ประชุมกลุ่มย่อยปราชญ์ชุมชน ผู้สูงอายุ

สนทนากลุ่มย่อยกับเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หน่วยงานและ ชมภาพยนตร์ หนังสั้นเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน

สำรวจสภาพนิเวศย่อยแม่น้ำโขง และนำสื่อมวลชนลงพื้นที่

ดูงานการเพาะพันธุ์ปลาและกบ เขียด

สำรวจความเหมาะสมแหล่งน้ำจัดทำเขตอนุรักษ์ในชุมชน

    เครื่องมือการวิจัย 

  1. ผังโครงสร้าง เช่น ผังกลุ่ม ผังแหล่งน้ำ

โครงสร้างกลุ่ม/องค์กรในตำบลบุ่งคล้า

เป็นทางการ                                                                                                                                                                          ไม่เป็นทางการ

ชุมชน                                    หลวง                                    รัฐบาล                                   ประชารัฐ                                               กลุ่มปลาร้า

– กองทุนหมู่บ้าน                   – กองทุนแม่ของแผ่นดิน         – กองทุน กข.คจ.                        – กลุ่มวิสาหกิจปลาร้า                               – กลุ่มทำขนมไทย

– ชมรมผู้สูงอายุ                    – อบต.บุ่งคล้า                        – กลุ่มวิสาหกิจเลี้ยงโค-กระบือ     – กลุ่มวิสาหกิจโค                                    – กลุ่มไม้กวาด

– กลุ่ม อสม.                         – รพ.สต. บุ่งคล้า                    – กองทุนหมู่บ้าน                        – กลุ่มเลี้ยงโค-กระบือ                              – กลุ่มไทญ้อ

– กลุ่มผู้เลี้ยงโค-กระบือ          – โรงเรียนอนุบาลบุ่งคล้า         – สภาเด็กและเยาวชน                                                                             – กลุ่มแปรรูปปลาน้ำโขง

– กลุ่มแปรรูปปลาน้ำโขง         – วัดปุริมาประดิษฐ์                 – สหกรณ์กองทุนสวนยางบุ่งคล้าภูวัวจำกัด                                                 – กลุ่มสัมมาชีพ

– วิสาหกิจชุมชนคนบุ่งคล้า    – วัดป่าบุ่งคล้าใต้                                                                                                                                – กลุ่มประมงแม่น้ำโขง

– กลุ่มสานตะกร้า                  – วัดจันทร์เดชบำรุง                                                                                                                            – กลุ่มพัฒนาหาดท่าสำราญ

– กลุ่มทอผ้า                          – วัดป่าโพธิ์นาแก้ว                                                                                                                             – กองทุนปุ๋ย

– กลุ่มสัมมาชีพ                     – โรงเรียนบุ่งคล้านคร                                                                                                                         – กลุ่มเลี้ยงหนูนา

– กลุ่มฌาปนกิจศพ                 – โรงพยาบาลบุ่งคล้า                                                                                                                           – กลุ่มเลี้ยงไก่พื้นบ้าน

– กลุ่มจักสาน                        – วัดทองอุทัยราษฎร์                                                                                                                            – กลุ่มเลี้ยงโค-กระบือ

– กลุ่มไม้กวาด                       – วัดดาราษี                                                                                                                                        – สภาเด็กและเยาวชน

– กองทุนปุ๋ย                          – โรงเรียนบ้านนาจาน                                                                                                                         – กองทุนเงินฉุกเฉิน

– กลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อการเกษตร   – กองทุนกลางหมู่บ้าน อพป.                                                                                                               – กลุ่มธนาคารหมู่บ้าน

– ศูนย์พัฒนาดินปุ๋ยชุมชน       – กลุ่มเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน                                                                                                          – กลุ่มเลี้ยงปลาดุก

โครงสร้างองค์กรตำบลบุ่งคล้า (ต่อ)

เป็นทางการ                                                                                                                                                                          ไม่เป็นทางการ

ชุมชน                                 หลวง                                                รัฐบาล                           ประชารัฐ                                               – กลุ่มจักสาน

– กลุ่มช่วยเหลือเบื้องตัน        – กลุ่มเกษตรพอเพียง                                                                                                                          

– ธนาคารขยะรีไซเคิล           – วัดเจริญสุขสีนวนคำประดิษฐ์

– กลุ่มมะเขือเทศ                  – โรงเรียนบานดอนแพง

– กองทุนกลุ่มสตรี                – วัดจอมศรี

– กลุ่มพัฒนาสตรี                  – สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว

– กลุ่มลานยาง                      – โรงเรียนบ้านขามเปี้ย

– กองทุนผู้พิการ                   – วัดป่าสมบูรณ์ปราณี

– กลุ่มเลี้ยงหนูนา                 – วัดศรีมงคลบ้านขามเปี้ย

– กลุ่มกองทุน ธ.ก.ส.            – วัดวนาราม

– ศูนย์สาธิตตลาดชุมชน        – วัดสิริธรรมทาน

– โครงการประชารัฐ             – เกษตรทฤษฎีใหม่

2.แผนที่เดินดิน แสดงการตั้งชุมชน ผังครัวเรือนแสดงกลุ่มเปราะบาง/กลุ่มเสี่ยงต่อภัยพิบัติน้ำท่วม

3.การสัมภาษณ์เชิงลึกปราชญ์ชาวบ้าน

ปราชญ์ชาวบ้านตำบลบุ่งคล้า

ด้านพุทธศาสนา, พราหมณ์
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นายบุญเยี่ยม โคตรทองวงศ์7176 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง084-7904428 096-9689468
2) นายบุญมี ไชยเดช65148 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง089-9056777
3) นายใจ วันตา6886 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง080-7233184
4) นางนวลตา ศรีรักษา6435 หมู่8 บ้านซำบอน085-6935301
ไวยาวัจกร
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นายสมเพชร พรหมฝาย69297 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง087-2175521
2) นายพัสดุ โคตรรัตน์6562 หมู่4 บ้านนาจาน
3) นายเสย คำปาน5962 หมู่5 บ้านดอนจิก
4) นายสุนทร อรรคนิตย์6384 หมู่5 บ้านดอนจิก
5) นายบุญแถม ผลจันทร์773 หมู่6 บ้านดอนแพง
6) นายสมศักดิ์ เพ็งน้ำคำ50100 หมู่8 บ้านซำบอน061-2860414
7) นายไชยรัตน์ ดาช้าง7016 หมู่9 บ้านโนนสะอาด092-6898866
8) นายณรงค์ นนท์สะเกษ6236 หมู่9 บ้านโนนสะอาด083-5639165
ด้านความเชื่อ
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นายสุพล แก้ววงทอง757/พ หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง098-1938576
2) นายสำรอง ศรีจันทร์7414 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง
3) นายคำจันทร์ เบ้ารักษา7978 หมู่5 บ้านดอนจิก
4) นายศิริ สอนนายอ7913 หมู่6 บ้านดอนแพง
5) นายกมล โคตะมี6519 หมู่9 บ้านโนนสะอาด093-4942731
6) นางจวน ภูมีสุข8511 หมู่9 บ้านโนนสะอาด
มัคนายก
ชื่อ- สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นายวิเชียร ชัยสิทธิ์7474 หมู่3 บ้านบุ่งคล้าเหนือ084-7881957
2) นายบรรจง พรมพิมพ์6099 หมู่5 บ้านดอนจิก
ด้านสมุนไพร, หมอพื้นบ้าน
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นายคำหล้า เคนคำพันธ์7247 หมู่4 บ้านนาจาน088-6159840
2) นายจีน อะโคตมี8031 หมู่5 บ้านดอนจิก
3) พระบุญอุ้ม อภโย61
ด้านเกษตรกรรม, หมอดินอาสา
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นายแสวง คำแก้ว78101 หมู่1 บ้านบุ่งคล้ากลาง080-4112056
2) นางหนูพิณ สำราญสุข7518 หมู่3 บ้านบุ่งคล้าเหนือ063-8501635
3) นายบันลือ ประเคนคะชา6223 หมู่3 บ้านบุ่งคล้าเหนือ098-5890785
4) นายคำฟอง คะแก้ว6287 หมู่4 บ้านนาจาน093-1298152
5) นายบุญธรรม อะโคตมี654 หมู่5 บ้านดอนจิก
ด้านจักสาน
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นางลำ โคตรรัตน์5683 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง062-3201947
2) นายมูล โคตรรัตน์8722 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง
3) นางสังวาล พิกุล57152 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง092-5909984
4) นายถวิล ใจขาน7871 หมู่3 บ้านบุ่งคล้าเหนือ089-0111217
5) นางสุมาลี หาสุวอ6679 หมู่3 บ้านบุ่งคล้าเหนือ093-4256231
6) นางจันทร์เพ็ญ โคตรรัตน์6162 หมู่4 บ้านนาจาน086-9677347
7) นางประสิทธิ์ สุวรรณเคน6370 หมู่4 บ้านนาจาน093-0498248
8) นางทุมวันดี ผลจันทร์7847 หมู่5 บ้านนาจาน098-4401718
9) นายสีทา อะโคตรมี7544 หมู่5 บ้านดอนจิก
10) นายพวง พรมพุทธ8023 หมู่7 บ้านขามเปี้ย
11) นายสีทา พิมพ์โคตร6797 หมู่8 บ้านซำบอน089-1288860
ด้านการทอผ้า
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นางสวน อภัยโส7369 หมู่7 บ้านขามเปี้ย
2) นางพอ ผลจันทร์7227 หมู่7 บ้านขามเปี้ย
ด้านการประมงพื้นบ้าน
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นายประยงค์ จำปาทุม7757 หมู่1 บ้านบุ่งคล้ากลาง091-0160565
2) นายบรรพต พรมพิมพ์4833 หมู่5 บ้านดอนจิก
การทำบายศรี, งานฝีมือ
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นางแก้ว น้อยสกุล6499 หมู่2 บ้านบุ่งคล้าทุ่ง061-3606114
การขยายพันธุ์พืช, จัดการระบบน้ำชุมชน
ชื่อ-สกุลอายุที่อยู่เบอร์โทรศัพท์
1) นายบุญรวม พรหมอารักษ์6638 หมู่3 บ้านบุ่งคล้าเหนือ086-1045763 063-7214476
  • ปฏิทินการเกษตร  
ผลผลิตม.ค.ก.พ.มี.ค.เม.ย.พ.ค.มิ.ย.ก.ค.ส.ค.ก.ย.ต.ค.พ.ย.ธ.ค.
ข้าว (นาปี)ไถกลบตอซังข้าวหว่านเมล็ดพันธุ์ + หยอดเมล็ดพันธุ์ไถ + คราด (สำหรับหว่านกล้า)หว่านกล้า + ใส่ปุ๋ย 1ถอนกล้า + ไถ+คราด + ดำนาแตกกอ + ใส่ปุ๋ย 2ข้าวตั้งท้อง + ใสปุ๋ย 3เก็บเกี่ยว (ข้าวเบา)เก็บเกี่ยว (ข้าวกลาง)เก็บเกี่ยว (ข้าวหนัก)
ข้าวนาปรังใส่ปุ๋ย 1 + ดูแลเรื่องน้ำ     ใส่ปุ๋ย 2เก็บเกี่ยว       ต้นเดือนเตรียมดิน + ปลายเดือนหว่านเมล็ดพันธุ์
  ต้องไล่นก
ยางพาราใบร่วง พักหน้ายางใส่ปุ๋ย 1   ใส่ปุ๋ย 2  ใบร่วง
กรีดยาง
ปาล์มน้ำมัน   ปลูก   ใส่ปุ๋ย 2   
 ใส่ปุ๋ย 1
หลังจากปลูก 3 ปี สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
โกโก้    ปลูกใส่ปุ๋ย     
ดูแลเรื่องน้ำตลอดทั้งปี
หลังจากปลูก 3 ปี สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
ปฏิทินการเกษตรตำบลบุ่งคล้า  
ผลผลิตม.ค.ก.พ.มี.ค.เม.ย.พ.ค.มิ.ย.ก.ค.ส.ค.ก.ย.ต.ค.พ.ย.ธ.ค.
มะเขือเทศ (เกษตรริมโขง)เก็บผลแดง       เพาะเมล็ดปลูก+ใส่ปุ๋ย เก็บผลเขียว
          ดูแลเรื่องน้ำ 
ข้าวโพด (เกษตรริมโขง) เพาะเมล็ดปลูก+ใส่ปุ๋ย เก็บผลผลิต       
   ดูแลเรื่องน้ำ        
ฟักทอง(เกษตรริมโขง)  ขุดหลุมใส่ปุ๋ยรองพื้น+ปลูก+ดูแลเรื่องน้ำ+ใส่ปุ๋ย กลบเมล็ดพันธุ์เก็บผลผลิต       
มันเทศ(เกษตรริมโขง)ปลูก เก็บผลผลิต         
ถั่วลิสง(เกษตรริมโขง)ปลูก เก็บผลผลิต         
กระเทียม (เกษตรริมโขง)เก็บผลผลิต        ปลูกปรับหน้าดิน+ใส่ปุ๋ย 
หอมแดง (เกษตรริมโขง)         ปลูกปรับหน้าดิน+ใส่ปุ๋ยเก็บผลผลิต
กะหล่ำปลี (เกษตรริมโขง) เก็บผลผลิต       เพาะเมล็ดปลูก + ใส่ปุ๋ย + ดูแลเรื่องน้ำ 
ทุเรียน    ปลูก      
ใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพทุกเดือน + รดน้ำวันเว้นวันตลอดทั้งปี
หลังจากปลูก 5 ปี สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
Scroll to Top