ดีใจครับที่ได้รับเชิญจากเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยให้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องที่มาผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศต่อวิถีชาติพันธุ์ และความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายโลกร้อนภาคประชาชน
ผม กฤษฎา บุญชัย TCJA ได้ชวนพี่น้องจากหลายเผ่าได้ประเมินผลกระทบโลกร้อน ทุกคนต่างยืนยันว่า เห็นความผิดปกติผลกระทบโลกร้อนหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็น 3 ฤดูกาลใน 1 วัน ภาวะร้อนแล้ง ปัญหาฝนทิ้ง ซึ่งไม่เคยเป็นมานับตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่
ผมจึงได้ชวนให้เข้าใจที่มาปัญหาระดับโลกตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมการเติบโตของทุนนิยมพลังงานฟอสซิล และแนวนโยบายของประเทศไทยต่อการจัดการก๊าซเรือนกระจก เช่น การเร่งเพิ่มพื้นที่ป่า ด้วยการให้เอกชนเข้ามาลงทุนจากแรงจูงใจคาร์บอนเครดิต
พวกเราเห็นตรงกันครับว่ามีความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในด้านสภาพภูมิอากาศหลายด้าน ทั้งกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล แต่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยวิธีต่าง ๆ เช่น การใช้ระบบตลาด คาร์บอนเครดิตมาบรรลุเป้าหมาย net zero แต่ประชาชนคนยากจนส่วนใหญ่ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ กลับต้องเป็นผู้ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด และมีอำนาจในการปรับตัวน้อยที่สุด
ในด้านนโยบายช่วยเหลือชดเชยความเสียหายและส่งเสริมการปรับตัวก็มาไม่ถึงกลุ่มชาติพันธุ์อย่างพวกเขาทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่กลุ่มชาติพันธุ์เป็นกลุ่มหลักที่มีบทบาทดูแลรักษาระบบนิเวศป่าไม้เพื่อทำหน้าที่ดูดศัยก๊าซเรือนกระจก แต่กลุ่มชาติพันธุ์กลับเป็นฝ่ายถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทำลายป่าและถูกปิดกั้นสิทธิในการเข้าถึง จัดการทรัพยากร
เมื่อร่างกฎหมายโลกร้อนของภาครัฐและภาคการเมืองต่าง ๆ ไม่ตอบโจทย์วิถีชีวิตชาติพันธุ์ุ ชุมชนท้องถิ่นและกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ นั่นเป็นเหตุให้ทำไมจำเป็นต้องมีร่างกฎหมายโลกร้อนภาคประชาชนขึ้นมา
พี่น้องชนเผ่าเห็นด้วยในหลักการที่ควรจะต้องมีร่างกฎหมายโลกร้อนภาคประชาชน แต่ขอใช้เวลาในการทำความเข้าใจรายละเอียด ซึ่งคาดว่าจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการระดมรายชื่อหมื่นชื่อเสนอกฎหมายโลกร้อนภาคประชาชน











