
เผยแพร่โดย One Young World
วันที่ 9 ตุลาคม 2016
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง 10 Climate innovators leading environmental change
ความตกลงปารีสมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาทำให้เกิดข้อผูกพันทางกฎหมายกับกฎหมายระหว่างประเทศทุกฉบับ และทุกมาตราของความตกลงก็ได้รับการลงมติโดยประเทศสมาชิกของ UNFCCC 55 ประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับให้รัฐบาลของประเทศสมาชิกนำเอาแนวนโยบายที่ยั่งยืนไปปรับใช้กับการแก้ปัญหาโลกร้อนและเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
หนึ่งปีหลังจากการลงมติ การประชุม COP22 ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวานนี้ที่กรุง Marrakesh ที่ซึ่งผู้นำโลกได้เริ่มกำหนดแนวนโยบายของประเทศตนบนรากฐานของความตกลงปารีส แต่ในขณะที่รัฐบาลของประเทศสมาชิกยังมองหาโอกาสเพื่อให้เกิดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม คนรุ่นใหม่จำนวน 10 คนก็ได้สร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนออกมาแล้ว
Heloise Greeff จากประเทศอาฟริกาใต้
อาฟริกาใต้เป็นประเทศที่ทุกคนเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนสักเครื่องหนึ่งได้ง่ายกว่าการมีน้ำกินน้ำใช้ ดังนั้น Heloise จึงนำเอาพลังของเทคโนโลยีสมาร์ตโฟนมาใช้ปฏิวัติความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำด้วยการพัฒนาระบบ Smart Water System เพื่อติดตั้งกับปั๊มน้ำ เป็นระบบที่จะตรวจสอบสภาพปั๊มและเตือนล่วงหน้าหากปั๊มอยู่ในสภาพที่ไม่ดีก่อนที่จะใช้การไม่ได้ และสามารถบอกระดับน้ำใต้ดินได้ด้วย ซึ่งสามารถนำข้อมูลไปใช้กำหนดนโยบายสาธารณะในพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนน้ำได้เป็นอย่างดี
Rainier Mallol จากสาธารณรัฐโดมินิกัน
เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น เชื้อโรคระบาดก็เติบโตได้ดีขึ้นด้วย Rainier จึงได้ร่วมก่อตั้งบริษัท AIME ที่ใช้ข้อมูลทางการแพทย์และ AI เพื่อทำนายการระบาดของโรคและยับยั้งเชื้อโรคก่อนที่จะแพร่กระจายในวงกว้างได้โดยเริ่มจากโรค Zika, Dengue, Chikungunya และโรคอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อแม่และเด็กโดยเฉพาะ
ความตกลงปารีสมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาทำให้เกิดข้อผูกพันทางกฎหมายกับกฎหมายระหว่างประเทศทุกฉบับ และทุกมาตราของความตกลงก็ได้รับการลงมติโดยประเทศสมาชิกของ UNFCCC 55 ประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับให้รัฐบาลของประเทศสมาชิกนำเอาแนวนโยบายที่ยั่งยืนไปปรับใช้กับการแก้ปัญหาโลกร้อนและเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
หนึ่งปีหลังจากการลงมติ การประชุม COP22 ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวานนี้ที่กรุง Marrakesh ที่ซึ่งผู้นำโลกได้เริ่มกำหนดแนวนโยบายของประเทศตนบนรากฐานของความตกลงปารีส แต่ในขณะที่รัฐบาลของประเทศสมาชิกยังมองหาโอกาสเพื่อให้เกิดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม คนรุ่นใหม่จำนวน 10 คนก็ได้สร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนออกมาแล้ว
Heloise Greeff จากประเทศอาฟริกาใต้
อาฟริกาใต้เป็นประเทศที่ทุกคนเป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนสักเครื่องหนึ่งได้ง่ายกว่าการมีน้ำกินน้ำใช้ ดังนั้น Heloise จึงนำเอาพลังของเทคโนโลยีสมาร์ตโฟนมาใช้ปฏิวัติความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำด้วยการพัฒนาระบบ Smart Water System เพื่อติดตั้งกับปั๊มน้ำ เป็นระบบที่จะตรวจสอบสภาพปั๊มและเตือนล่วงหน้าหากปั๊มอยู่ในสภาพที่ไม่ดีก่อนที่จะใช้การไม่ได้ และสามารถบอกระดับน้ำใต้ดินได้ด้วย ซึ่งสามารถนำข้อมูลไปใช้กำหนดนโยบายสาธารณะในพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนน้ำได้เป็นอย่างดี
Rainier Mallol จากสาธารณรัฐโดมินิกัน
เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น เชื้อโรคระบาดก็เติบโตได้ดีขึ้นด้วย Rainier จึงได้ร่วมก่อตั้งบริษัท AIME ที่ใช้ข้อมูลทางการแพทย์และ AI เพื่อทำนายการระบาดของโรคและยับยั้งเชื้อโรคก่อนที่จะแพร่กระจายในวงกว้างได้โดยเริ่มจากโรค Zika, Dengue, Chikungunya และโรคอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อแม่และเด็กโดยเฉพาะ
Yolanda Joab จากสหพันธรัฐไมโครนีเชีย
Yolanda พาตนเองเข้าไปสังเกตการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากภาวะโลกร้อนในชุมชนชาวเกาะอยู่บ่อยครั้ง เธอเป็นผู้ประสานงานโครงการอยู่ที่ International Organization for Migration ที่มีภารกิจในการช่วยชุมชนตั้งรับปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน บรรเทาสาธารณภัย และโครงการเพื่อการเรียนรู้ในไมโครนีเชีย หมู่เกาะมาร์แชล และเปาลู
Parker Liautaud จากประเทศฝรั่งเศส
Parker เป็นนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการสำรวจขั้วโลกเหนือมาแล้วสามครั้ง ในปี 2013 เขาได้นำการสำรวจขั้วโลกใต้ที่ทำลายสถิติโลกเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน Parker เป็นนักสำรวจที่อายุน้อยที่สุดที่สกีไปขั้วโลกใต้ด้วยอายุเพียง 19 ปี เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาทางนโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติให้แก่ทำเนียบขาว
Barkha Mossae จากหมู่เกาะเมาริเชียส
Barkha เป็นทูตของกระทรวงต่างประเทศและนักสิ่งแวดล้อมในยามว่าง เธอร่วมก่อตั้ง #SeeingBlue ซึ่งเป็นโครงการที่กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจในสภาพแวดล้อมทางทะเลให้มากขึ้น #SeeingBlue ชนะเลิศรางวัลด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศจากมูลนิธิ Mary Robinson ทำให้ Barkha ได้เป็นตัวแทนร่วมกับนาง Mary Robinson อดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐไอร์แลนด์และทูตพิเศษแห่งสหประชาชาติ และนาง Catherine McKenna รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการประชุม One Young World 2016 ณ กรุงออตตาว่า
Aushim Merchant จากประเทศไทย
เป็นที่คาดการณ์ว่าคนไทยจำนวนกว่า 1.8 พันล้านคนจะเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำภายในปี 2050 Aushim จึงได้เลือกที่จะทำงานด้านพัฒนาระบบอนุรักษ์และจัดการน้ำร่วมกับเกษตรกรท้องถิ่นในกลุ่มประเทศอาเซียน เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ Mintra Foundation เพื่อโปรโมทการมีส่วนร่วมโดยประชาชนในระบบการศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้พยายามกระจายการกำจัดขยะออกจากระบบกลางและผลิตเชื้อเพลิงจากหลุมฝังกลบโดยไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก
Enass Abo-Hamed จากรัฐปาเลสไตน์
เมื่อความตกลงปารีสมีผลบังคับใช้ บทบาทของพลังงานทางเลือกในการบรรลุเป้าหมายของแต่ละประเทศจึงเพิ่มสูงขึ้น Enass เป็นประธานและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท H2GO ที่ผลิตถังเก็บก๊าซไฮโดรเจนที่จะลดต้นทุนของพลังงานสะอาดเพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ H2GO ชนะรางวัลบริษัท startup ด้านพลังงานดีเด่นของ HT Summit ในปีนี้
Bryant Zebedy จากหมู่เกาะมาร์แชล
หมู่เกาะมาร์แชลเป็นหนึ่งในหมู่เกาะที่เสี่ยงจะจมทะเลจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นและมลภาวะในมหาสมุทรก็ทำลายระบบนิเวศทางทะเลที่ชาวเกาะต้องพึ่งพาอาศัย Bryant จึงได้อุทิศตนเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและเก็บขยะในทะเลและตามชายหาดแล้วเป็นปริมาณกว่าหนึ่งเมตริกตัน
Anoka Abeyrathne จากประเทศศรีลังกา
ศรีลังกามีประชากรราว 21 ล้านคนที่ได้รับความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อนและสูญเสียพื้นที่ประมาณ 4,000 ไร่ในทุกๆ ปีเนื่องจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ชื่อ Growin’ Money ที่ Anoka ก่อตั้งขึ้นได้ช่วยให้ชาวศรีลังกากลุ่มเปราะบางจำนวน 5,000 คนตั้งรับปรับตัวด้วยการใช้เกษตรแนวใหม่ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเทคโนโลยีดิจิทัล หลังจากเหตุสึนามิในปี 2004 Anoka ได้ริเริ่มโครงการปลูกต้นโกงกางในป่าชายเลนจำนวน 40,000 ต้นเพื่อเป็นแนวกันคลื่นตามธรรมชาติ
Khizr Imran Tajammul จากประเทศปากีสถาน ผู้คนจำนวน 90 ล้านคนในปากีสถานไม่มีไฟฟ้าใช้ Khizr จึงได้ตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ชื่อ Jaan ขึ้นเพื่อวิจัยและพัฒนาระบบโซลาร์เซลล์ต้นทุนต่ำสำหรับชุมชนคนยากจนและชนะเลิศรางวัล Social Startup Competition ในปี 2014