
มติของสภาผู้แทนฯ ที่ให้ผ่านร่างกฎหมายประมง เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการทำลายล้างระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งท้องทะเล ความมั่นคงอาหาร ตลอดจนวิถีชีวิตวัฒนธรรมของประมงพื้นบ้าน และเศรษฐกิจอาหารทะเลของประชาชนจำนวนมาก
เพียงข้ออ้างว่าเป็นกฎหมายภายใต้ คสช.และแรงบีบบังคับจาก EU
แต่แท้ที่จริงแล้วได้เผยโฉมให้เห็นว่า ไม่ว่าการเมืองอนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม ก็สยบยอมให้กับทุนนิยมโดยเฉพาะทุนนิยมทำลายล้างธรรมชาติ และสร้างความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมขูดรีดกับชุมชนที่พึ่งพาทรัพยากรชายฝั่ง
หลักเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิในทรัพยากรของชุมชน สิทธิในความมั่นคงอาหาร สิทธิทางเศรษฐกิจสังคมต่าง ๆ ถูกโยนทิ้งไปอย่างง่ายดาย
ทุกพรรคการเมืองคิดหรือไม่ว่า เศรษฐกิจการดำรงชีพที่ตกต่ำของประมงพื้นบ้านที่ถูกผลักให้เปราะบางสุด ๆ อยู่แล้ว กำลังถูกทำให้พังพินาศ
มีพักว่า ทุกพรรคการเมืองไม่เคยได้ยินเสียงของสรรพชีวิตแห่งท้องทะเล ที่ไม่มีสิทธิโอดครวญ โต้แย้ง ต่อการผลาญชีวิต ละเมิดสิทธิแห่งธรรมชาติอย่างรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นขนานใหญ่
ทั้งประชานิยมและเสรีนิยมทางเศรษฐกิจและการเมืองหาใช่จุดสูงสุดของทางสังคมและการเมือง
สิ่งที่ท้าทายยิ่งไปกว่านั้นคือ หายนะธรรมชาติจะกลับมาเอาคืนกับมนุษย์ มันจะทำให้ระบบการเมืองและเศรษฐกิจทุกประเภทล่มสลาย
จากประมงพาณิชย์จะไปสู่การขยายเศรษฐกิจอุตสาหกรรมขูดรีดธรรมชาติและประชาชนที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ
การฟอกเขียวใด ๆก็ตาม ทั้งทุนนิยมสีเขียว เทคโนโลยีสีเขียว กลไกตลาดคาร์บอน และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่สามารถปิดบังอำพรางความผิดพลาดความฉ้อฉลที่เกิดขึ้นได้
ดูเหมือนทุกพรรคการเมืองที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่คำตอบสำหรับประชาชนและธรรมชาติอีกต่อไปแล้ว
ประชาชนต้องสร้างการเมืองและเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ที่มีทั้งสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นธรรม ไม่เพียงแก่คนยากคนจน ชุมชนท้องถิ่น ยังต้องเป็นความเป็นธรรมต่อคนรุ่นหลัง และต่อธรรมชาติด้วย
สรุปย่อ ทำไมประชาชนควรค้าน ร่าง พรก.ประมง ม.69
ประเทศไทยเริ่มใช้อวนลากและเครื่องมือประมงสมัยใหม่ตั้งแต่ปี 2489 ส่งผลให้ทรัพยากรทะเลลดลง ระบบนิเวศเสียหาย และเกิดปรากฏการณ์ “ทะเลร้าง” การกำหนดเขตอวนลากในปี 2506 เพื่อลดผลกระทบยังไม่มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้ ทำให้ประมงพื้นบ้านได้รับความเสียหายหนักจากการทำลายหน้าดินและการจับสัตว์น้ำวัยอ่อน
แม้ในปี 2558 จะมี พ.ร.ก. ประมง เพื่อแก้ปัญหา IUU แต่การแก้ไขมาตรา 69 ในปี 2566 ที่อนุญาตให้อวนล้อมจับในเวลากลางคืนห่างจากฝั่ง 12 ไมล์ทะเล สร้างความกังวลต่อชาวประมงพื้นบ้าน เพราะอวนล้อมและไฟล่อสามารถดึงสัตว์น้ำวัยอ่อนจากชายฝั่งเข้ามา ทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุลอีกครั้ง การใช้อวนตาถี่และเครื่องมือทำลายล้างส่งผลกระทบต่อการขยายพันธุ์สัตว์น้ำ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างประเมินค่าไม่ได้
นโยบายนี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นของกลุ่มประมงพาณิชย์ มากกว่าการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศในระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อคนไทยทุกคนในอนาคต


