THAI CLIMATE JUSTICE for All

ครูช่วยสนับสนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน

เขียนโดย Morgan Gilbard
วันที่ 7 สิงหาคม 2024
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง Teachers Empower the Next Generation to Address Climate Change

ในปี 2024 สถาบัน Summer Climate Institute ได้จัดโปรแกรมเพื่อส่งเครื่องมือการสอนที่จำเป็นสำหรับการอบรมเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ นักวิทยาศาสตร์ และนักรณรงค์เคลื่อนไหวแก่ครูผู้สอนในชั้นมัธยมต้น

ผู้เล่นที่จะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการลดปัญหาโลกร้อนนั้นกำลังอยู่ในช่วงเจริญวัย ทำให้ครูผู้สอนจำนวน 40 คนของ Teachers College เข้าร่วมโครงการบูรณาการการศึกษาสภาพภูมิอากาศในโรงเรียนของรัฐของสถาบัน Summer Climate Institute เมืองนิวยอร์ค ในเดือนกรกฎาคม 2024 โดยจัดขึ้นที่ College’s Smith Learning Theater

โปรแกรมอบรมเชิงวิชาการที่ใช้เวลา 1 สัปดาห์นี้ช่วยให้ครูผู้สอนเข้าใจถึงพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับปฏิบัติการ การสอนข้ามสาขาวิชา การจูงใจนักเรียนเข้ามามีส่วนร่วม และอื่น ๆ  ความเป็นพันธมิตรระหว่างองค์กรอย่าง TC’s Center for Sustainable Futures, the LEAP (Learning the Earth with Artificial Intelligence and Physics) Center at Columbia University, และ the Office of Energy and Sustainability in New York City Public Schools (NYCPS) ทำให้สถาบันสามารถระดมทุนจำนวน 25 ล้านดอลล่าร์ฯเพื่อสนับสนุนงานด้านวิทยาศาสตร์ในปี 2021 ได้ โครงการในปีนี้เป็นเฟสที่สองของความร่วมมือดังกล่าวจัดขึ้นสำหรับครูชั้นประถมและมัธยม

“การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การลดความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดจากภาวะโลกร้อน และในฐานะที่เป็นครูของนักเรียนรุ่นปัจจุบัน ครูผู้สอนมีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนสำหรับอนาคตที่จะมาถึง” รองศาสตราจารย์ Oren Pizmony-Levy สาขาวิชาการศึกษาเปรียบเทียบสากลและผู้อำนวยการของ College’s Center for Sustainable Futures กล่าว “งานของพวกเราเหล่านักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และนักการศึกษาที่สถาบัน Summer Climate Institute ยังดำเนินต่อไปหลังการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งสุดท้าย และตอนนี้ครูผู้สอนที่เข้าร่วมกับเราในโปรแกรมฤดูร้อนที่ผ่านมาก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่อุทิศให้การแก้ปัญหาโลกร้อนที่เป็นประเด็นที่ลึกซึ้งที่สุดในช่วงชีวิตของเรา”

การรวมเอาเรื่องภาวะโลกร้อนเข้ามาในการเรียนรู้ในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องที่ควรทำ ครูชั้นมัธยมต้นจะต้องหาวิธีการที่จะบรรจุภาวะโลกร้อนเข้าในหลักสูตรการเรียนการสอนที่แน่นอยู่แล้ว และ Summer Climate Institute ก็ให้ความรู้แก่ครูผู้สอนว่าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร

“สถานที่ที่เราสามารถพูดคุยเรื่องภาวะโลกร้อนกับเด็ก ๆ ได้นั้นมีอยู่ทั่วไป” รองศาสตราจารย์ Ann Rivet สาขาวิชาการศึกษาแห่งศูนย์ Center for Sustainable Futures กล่าว Ann Rivet ได้ร่วมออกแบบโปรแกรมการอบรมครูผู้สอนให้สอดแทรกเรื่องภาวะโลกร้อนเข้าไปในทุกวิชาอย่างศิลปะ ภาษาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

อุปสรรคและแนวทางแก้ไขอย่างสร้างสรรค์

แนวทางการเรียนการสอนข้ามสาขาวิชานี้สอดคล้องกับเป้าหมายของสถาบันการศึกษาที่จะเตรียมครูผู้สอนให้เป็นผู้ตอบสนองรายแรก ๆ หากเกิดอุบัติภัยจากภาวะโลกร้อนขึ้น โครงการ Public Good Initiative ที่ก่อตั้งขึ้นโดย Thomas Bailey ในปีที่ผ่านมามุ่งให้ครูผู้สอนร่วมพัฒนาในสี่ด้าน ได้แก่ความยั่งยืน อนาคตของการเรียนการสอน สุขภาวะทางจิตและปัญญา และนวัตกรรมดิจิทัล

“เราเล็งเห็นถึงคุณค่าของโรงเรียน ครู และนักเรียนในชั้นมัธยมต้น และชุมชนโดยรอบที่จะมาช่วยเราออกแบบแนวทางแก้ปัญหาโลกร้อนและความยั่งยืน” Thomas Bailey กล่าวในประกาศต้อนรับครูผู้เข้ารับการอบรม “และเราจะสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้เมื่อเรารวมเอาเรื่องราวผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจริงไว้ในการเรียนการสอนในห้องเรียนและในทุกชั้นเรียน ขอบคุณสำหรับความสนใจและความมุ่งมั่นของครูทุกท่าน”

นอกจากการสอนข้ามสาขาวิชาแล้ว ครูผู้สอนยังสามารถช่วยให้นักเรียนสร้างเครื่องมือที่จำเป็นในการมีส่วนร่วมแก้ปัญหา “ในชั้นมัธยมต้น ครูจะเริ่มเชื่อมโยงความรู้เข้ากับการปฏิบัติที่ไม่มีในการเรียนการสอนในชั้นประถม” Rivet อธิบาย “มีแนวทางลงมือปฏิบัติในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศที่นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมได้ และครูก็สามารถช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนของตน แนวทางนี้จะทำหนักเรียนเข้าใจหลักการอย่างลึกซึ้งจนสามารถนำไปปฏิบัติในบริบทที่แตกต่างกันได้”

ในการที่จะทำให้นักเรียนเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้นั้น ครูผู้สอนจะต้องบรรจุกระบวนการมีส่วนร่วมเข้าไว้ในหลักสูตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเน้นถึงผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคม สำหรับเหล่าครูของโรงเรียนในรัฐนิวยอร์คแล้ว กระบวนการนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก นักเรียนเกือบร้อยละ 73 มาจากครอบครัวที่ยากจน และร้อยละ 80 มาจากครอบครัวผิวสี และนักเรียนเหล่านี้ก็ต้องเผชิญปัญหาความไม่เท่าเทียมทางภูมิอากาศอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน เช่นถูกผลักดันให้ต้องไปอาศัยอยู่ในจุดเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติมากกว่าคนกลุ่มอื่น

 “การสอนในหัวข้อนี้เป็นเรื่องที่ยาก แต่เมื่อเราเริ่มพูดถึงมันแล้วละก็ ผู้คนก็จะเริ่มเข้าใจประวัติศาสตร์ของอเมริกาได้ดีขึ้นและเริ่มเข้าใจเรื่องอื่น ๆ ตามมาด้วยเช่นกัน” Williams ผู้ซึ่งจัดอบรมเรื่องความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศกล่าวถึงประสบการณ์ตรงของตนในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักศึกษา ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมที่ Columbia Climate School “ครูผู้สอนกำลังสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิ่งแวดล้อมสำหรับอนาคต การเชื่อมโยงนโยบายเข้ากับสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และความเป็นธรรมทางภูมิอากาศจะช่วยให้ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ เพราะเมื่อใดที่คุณเป็นผู้นำแล้ว คุณจะต้องรู้ว่าการตัดสินใจแบบใดที่จะส่งผลแบบใดตามมา”

การเรียนการสอนเรื่องความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วมนั้นถูกสอดแทรกเข้าไปไม่แต่เพียงชั้นเรียนของ Williams เท่านั้น เนื่องจากครูผู้สอนต้องรับฟังปัญหาของนักเรียนที่ต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนบ่อยครั้งขึ้น นับตั้งแต่ปัญหาฝุ่นควันในฤดูร้อน ไฟป่า และอุทกภัยในบรุคลิน

“ยิ่งครูผู้สอนเข้าใจและสามารถสอนในหัวข้อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาพรวมได้ดีเท่าใด พวกเขาก็จะมีความมั่นใจที่จะพูดคุยกับนักเรียนจากหลากหลายเชื้อชาติมากขึ้นเท่านั้น” Christina Torres นักวิจัยของ Center for Sustainable Futures อธิบาย “มันไม่สำคัญว่าคุณจะมีความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากเท่าใดหากคุณขาดความมั่นใจที่จะสอนวิชานี้ในชั้นเรียน” เช่นโครงการของ TC, LEAP Columbia และ NYC School ที่ฝึกอบรมครูให้แลกเปลี่ยนความคิดและช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อก้าวข้ามอุปสรรคในหลากหลายมิติของชั้นเรียนจริง  “เราเห็นโอกาสและความต้องการโมเดลสนับสนุนครูผู้สอนในเรื่องนี้ในระยะยาว” Pizmony-Levy ให้ข้อสังเกต  “ครูสี่สิบคนเป้นเพียงส่วนหนึ่งของครุจำนวนมากในเมืองนิวยอร์ค และเราถือเอาการขยายผลโครงการนี้เป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพของครูไปพร้อมกัน”

Scroll to Top