
เขียนโดย Heather McLaughlin และ Deborah Seabrook
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง The creative arts therapies and the climate crisis: Toward a framework for intentional engagement
การพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมในห้องปฏิบัติการศิลปะบำบัดเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน รวมทั้งตัวศิลปินและผู้เข้ารับการอบรมเองด้วย แต่ในขณะเดียวกัน การพูดคุยแลกเปลี่ยนก็อาจทำให้หลายคนเดินออกจากห้องไปก็ได้เนื่องจากความน่าหดหู่สิ้นหวังของหัวข้อดังกล่าว แม้ว่าการยอมรับความจริงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิกฤติสิ่งแวดล้อม แต่ความจริงที่ยอมรับได้ยากนี้ก็อาจทำให้คนเราปิดกั้นตัวเองหรือปฏิเสธความเป็นจริงเพื่อปกป้องตัวเองก็ได้ ภัยพิบัติที่เกิดจากภาวะโลกร้อนสามารถทำให้เกิดความรู้สึกที่หลากหลาย และตัววิกฤติสิ่งแวดล้อมเองก็ซับซ้อนจนยากที่จะทำความเข้าใจ ด้วยความซับซ้อนนี้เอง ศิลปะบำบัดจะก้าวเข้ามาเป็นตัวช่วยให้ผู้รับการอบรมรับรู้ เข้าถึง และรู้สึกมีส่วนร่วมในหัวข้อนี้ได้อย่างไร? เรายังมุ่งมั่นที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงในขณะที่ก็ต้องยอมรับอารมณ์ความรู้สึกของผู้เข้ารับการอบรมที่จะเกิดขึ้น เราจึงได้แสวงหาวิธีการต่างๆที่จะเชื่อมโยงเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเข้ากับศิลปะบำบัดในแนวทางที่คำนึงถึงความหลากหลายทางความสามารถ ความรู้ ทรัพยากร และขอบเขตของอิทธิพลของผู้เข้าร่วม
จุดเริ่มต้นกระบวนการ
หัวข้อข่าวต่างๆที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวันอย่างภัยธรรมชาติ พืช/สัตว์สูญพันธุ์ ไฟป่าที่เกิดรุนแรง และการอพยพย้ายถิ่น เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ วิกฤติสิ่งแวดล้อมโลกกลายเป็นโลกแห่งความเป็นจริงในชีวิตประจำวันเมื่อเราก้าวข้ามข้อจำกัดของธรรมชาติอย่างไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ คณะกรรมการ IPCC ประกาศว่า “ภาวะโลกร้อนเป็นภัยต่อความเป็นอยู่ที่ดีของโลกและมนุษย์” และ “โอกาสที่เราจะสร้างอนาคตที่มั่นคงปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับทุกคนกำลังปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว”
กลุ่ม Earth Commission ที่ประกอบไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกทั้งจากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และสังคมศาสตร์ได้ร่างเค้าโครงเงื่อนไขแปดประการที่ทำให้โลกเป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย และมนุษย์ก็ประสบความล้มเหลวแทบทุกข้อ จากข้อเท็จจริงนี้ทำให้ความแตกแยกทางการเมือง ความลังเลสงสัย การปฏิเสธความมีอยู่จริงของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ การขยายตัวของอุตสาหกรรม ความขัดแย้งและแบ่งข้างกันในสังคม และความหลงผิดในอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เหล่านี้บ่อนทำลายความสามารถในการรวมพลังกันเพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ศิลปะบำบัดที่ฝังตัวอยู่ในระบบเหล่านี้ก็จะต้องตอบสนองต่อวิกฤติเช่นเดียวกัน สาขาการบำบัดสมัยใหม่ต่างๆอย่างศิลปะบำบัด ลีลาศบำบัด การละคร ศิลปะเพื่อการแสดงออก และดนตรีมีการเข้าถึงปัญหาที่แตกต่างกัน และเราพิจารณาว่าศิลปะบำบัดแตกต่างจากแนวคิดเชิงทฤษฎีแนวกว้างในระดับสูงเพื่อขยายขอบเขตวิธีการที่เราจะเข้าถึงการทำความเข้าใจวิกฤติสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้สหวิทยาการมาอธิบาย และนักศิลปะบำบัดจะต้องทำให้ผู้เข้าอบรมแสดงออกและทำความเข้าใจในสิ่งที่เหนือไปกว่าการอธิบายความด้วยภาษาพูด
พื้นที่วิจัย
นักวิจัยท่านแรก Heather เป็นชนผิวขาว เป็นเพศหญิงที่ชอบเพศเดียวกัน เป็นชนชั้นกลาง อายุ 50 ปี มีบุตร และเป็นชนชาวเคลท์โดยกำเนิด ส่วน Deborah เป็นชนผิวขาว เป็นเพศหญิงโดยกำเนิด เป็น LGBTQ+ ไม่มีบุตร อายุ 40 ปี เป็นชาวเวลช์ที่อาศัยอยู่ในแคนาดา และเป็นชนชั้นกลาง ในช่วงเวลาที่ทั้งสองเขียนบทความนี้ Heather อาศัยอยู่ในเขตสงวนของชนเผ่า Anishinabewaki Om`amìwininìwag, หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Nominingue ในรัฐ Qu´ebec ส่วน Deborah อยู่ในเขต Mississauga Anishinaabeg หรือที่คนผิวขาวเรียกว่า Peterborough ในรัฐ Ontario สถานที่ทั้งสองแห่งประสบภัยคลื่นความร้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วงที่ทั้งสองกำลังเก็บข้อมูลวิจัย และพบว่าสถานการณ์ของผู้เขียนทั้งสองไม่หนักหนาเหมือนคนบางกลุ่มอันเนื่องมาจากสถานะภาพทางครอบครัว สีผิว ย่านที่อยู่อาศัย และองค์ประกอบทางระบบอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่มีต่อสุขภาพก็ทำให้ความเปราะบางของพวกเธอเพิ่มสูงขึ้นแม้ในกลุ่มอภิสิทธ์ชน
งานวิจัยพบว่ากรอบแนวคิดของ Machado de Oliveira ในเรื่อง “Soft-reform, radical-reform, and beyond-reform orientations of change” หรือการปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนนั้นมีประโยชน์ในการทำความเข้าใจภาวะโลกร้อนที่มีความซับซ้อนสูงเนื่องจากภาวะโลกร้อนประกอบไปด้วยวิกฤติหลายด้านที่มีความเกี่ยวพันกันเราจึงได้นำมาใช้อธิบายงานของเราในการสร้างทฤษฎีแนวคิดของการเปลี่ยนแปลง กรอบแนวคิดของ Machado de Oliveira ประกอบไปด้วยแนวทางการเปลี่ยนแปลงสามแนวทางอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ หนึ่ง การปฏิรูปอย่างอ่อนที่ตั้งอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง สองการปฏิรูปนอกเหนือขอบเขตปกติที่ตั้งอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่ง และสามการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเฉียบพลันที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง
แนวทางการปฏิรูปอย่างอ่อนมองระบบและโครงสร้างพื้นฐานที่ผู้คนอาศัยอยู่ว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการคือการเปลี่ยนแปลงปฏิสัมพันธ์ที่ผู้คนมีต่อระบบ ส่วนแนวทางการปฏิรูปอย่างรุนแรงเฉียบพลันมองปัญหาว่าเป็น “ผลมาจากการกีดกันการมีส่วนร่วมและการกระจายทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียม” และการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากการเปลี่ยนแปลงกลไกในระบบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียม ช่องว่างระหว่างการปฏิรูปอย่างอ่อนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเฉียบพลันคือความหวังว่าสังคมสมัยใหม่จะสามารถสร้างอนาคตที่ดีได้ ส่วนการปฏิรูปนอกเหนือขอบเขตปกติมองระบบและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นอยู่ว่าไม่ยั่งยืนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ด้วยวิธีการใดๆ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจะต้องมาจากการรื้อระบบทิ้งและการเรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริงที่จะตามมาหลังจากนั้น
ส่วนแนวคิดหลักของงานวิจัยชิ้นนี้เป็นแนวทางการปฏิรูปอย่างรุนแรงเฉียบพลันตามทฤษฎีของ Machado de Oliveira และเรายอมรับว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอาจเปลี่ยนพฤติกรรมที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เราพบพลวัตินี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานในโครงการและคาดว่าพฤติกรรมนี้จะดำเนินต่อไปในอนาคต
ก้าวสู่การมีส่วนร่วมแก้วิกฤติสิ่งแวดล้อม
เมื่อเรานึกถึงการมีส่วนร่วมกับการแก้วิกฤติสิ่งแวดล้อมในฐานะที่เป็นสาขาอาชีพหนึ่ง เราจะต้องเข้าใจว่าความรับผิดชอบต่อภาวะโลกร้อนส่วนใหญ่ต้องตกอยู่กับอุตสาหกรรมที่ผลิตและบริโภคพลังงานฟอสซิล รวมทั้งภาครัฐที่ให้สัมปทาน และเหล่ามหาเศรษฐีที่สร้างความร่ำรวยจากการผลิตและบริโภคพลังงานฟอสซิล แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าการกระทำเหล่านี้จะนำมาซึ่งหายนะของโลกก็ตาม แม้ว่าเราจะระบุตัวผู้กระทำความผิดได้แล้วก็ตาม แต่หน้าที่ที่จะต้องหยุดพลังงานฟอสซิล ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสร้างอนาคตที่ดีกว่ากลับตกอยู่ในมือของพวกเราทุกคน ศิลปินนักบำบัดก็สามารถแบ่งปันทักษะที่จะช่วยให้สังคมเชื่อมโยง ออกแบบ และสรรสร้างอนาคตดังกล่าวได้
ปัจจุบัน ศิลปินนักบำบัดหลายรายก็อุทิศงานของคนให้กับความเป็นธรรมทางภูมิอากาศกันอยู่แล้ว แต่ยังขาดการเชื่อมโยงงานของศิลปะบำบัดในสาขาต่างๆเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาโลกร้อน เราเห็นข้อจำกัดของอิทธิพลของสาขาอาชีพอย่างศิลปะบำบัด แต่ก็ยอมรับว่านักศิลปะบำบัดมีความสามารถและความรับผิดชอบที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ ในการที่จะทำเช่นนั้นได้ เราต้องตัดเอาอิทธิพลที่อยู่เหนือการกระทำของบุคคลๆหนึ่งออกไป
การกำหนดกรอบการมีส่วนร่วมแก้วิกฤติสิ่งแวดล้อมให้แก่ศิลปะบำบัดทำให้ผู้เข้ารับการบำบัดมีแนวปฏิบัติที่เป็นไปตามลำดับความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยแนวคิดจากหลากหลายสาขาวิชาอย่างศิลปะบำบัดเพื่อสิ่งแวดล้อม จิตวิทยาสิ่งแวดล้อม การรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศเชิงลึก ทฤษฎีระบบ และแนวทางที่ละทิ้งมรดกทางความคิดของเจ้าอาณานิคม จะทำให้เราสามารถสร้างกรอบดำเนินงานดังกล่าวขึ้นมาได้
การคิดอย่างเป็นระบบ ที่เกิดจากทฤษฎีระบบ ทำให้เราถอยออกมาจากวิสัยทัศน์เชิงเส้นและการแบ่งแยกดำขาว สู่ปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมากระหว่างวัตถุธาตุทั้งหลายในจักรวาล ทฤษฎีสหวิทยาการนี้ใช้ได้กับทุกสาขาวิชานับตั้งแต่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ไปจนสังคมศาสตร์ คณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และวิศวกรรม ในสาขาอาชีพที่เกี่ยวกับการบำบัดนั้น วิธีการเชิงระบบทำให้เกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการมุ่งเป้าไปที่ปัจเจกและความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกกับผู้อื่น มาเป็นการตะหนักถึงความซับซ้อนในความสัมพันธ์และความจำเป็นในการพัฒนาแนวคิดให้กับกระบวนการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดการบำบัด ในช่วงแรกๆ ผู้เข้ารับการบำบัดจะเข้าใจว่าการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เป็นสิ่งเดียวกับที่เรียกกันว่า First-order Thinking ที่ให้ความสนใจกับระบบครอบครัวเท่านั้น แต่ต่อมาก็จะเริ่มขยายขอบเขตการศึกษาสู่ Second-order Thinking ที่กระบวนการบำบัดเป็นส่วนหนึ่งของระบบ และ Third-order Thinking ที่ขยายขอบเขตของการบำบัดโดยรวมเอาผู้รับการบำบัด นักบำบัด กระบวนการทางสังคม และพลวัติทางอำนาจเข้าไว้ด้วยกัน Third-order Thinking ทำให้เกิดการศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างระดับต่างๆของระบบซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกรอบการศึกษาที่เราได้พัฒนาขึ้น
แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำความเข้าใจเครือข่ายสายใยของชีวิตและธรรมชาติที่ซับซ้อนได้ทั้งหมด แต่เราก็สามารถหันมาสำรวจระบบย่อยที่เราคุ้นเคยเพื่อทำความเข้าใจภาพที่ใหญ่กว่าได้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเราขอให้ผู้รับการบำบัดเปลี่ยนความสนใจจากกระบวนการรับรู้สิ่งภายนอกมาเป็นการจับสังเกตการไหลเวียนของเลือดในตัว ต่อมาก็ไปสู่ระบบอื่นๆ เช่นการหายใจ การย่อยอาหาร เราต้องเข้าใจว่าความเข้าใจต่อวิทยาศาสตร์ถูกจำกัดด้วยทฤษฎีที่สร้างขึ้น แต่ถ้าเราลองคิดว่าร่างกายของเราไม่ใช่หน่วยหนึ่งที่แยกออกจากสรรพสิ่งอื่นโดยสิ้นเชิง แต่เป็นระบบนิเศหนึ่งในตัวของมันเอง เป็นที่อาศัยของไวรัส แบคทีเรีย และปรสิต ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว เส้นแบ่งระหว่างตัวเรากับสิ่งมีชีวิตอื่นๆและสิ่งแวดล้อมก็จะจางลง แนวความคิดเช่นนี้ท้าทายแนวความคิดแบบเก่าที่แบ่งสิ่งมีชิวิตออกเป็นลำดับชั้น และวางมนุษย์ไว้บนยอดพีระมิด และไม่ว่าแนวคิดนี้จะใหม่ต่อผู้เข้ารับการบำบักหรือไม่ก็ตาม ให้พวกเขาค้นหาว่าอะไรคืออุปสรรคต่อการคิดอย่างเป็นระบบ และการคิดแบบเป็นระบบมีแนวโน้มที่จะขยายตัวออกไปยังทิศทางใด ดังนั้นเพื่อช่วยให้การคิดอย่างเป็นระบบดีขึ้น ผู้เข้ารับการบำบัดจะต้องสำรวจระบบที่ตนเองคุ้นเคยมากที่สุดเสียก่อน
วัตถุประสงค์งานวิจัย
วัตถุประสงค์ของงานวิจัยชิ้นนี้ได้แก่การเริ่มต้นกำหนดกรอบแนวคิดที่จะทำให้ผู้รับการอบรมสะท้อนประสบการณ์ที่ได้รับจากวิกฤติสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อระบบนิเวศและสุขภาวะผ่านทางศิลปะบำบัดเพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนการอบรมศิลปะบำบัดและอื่นๆ ด้วยการตั้งคำถามว่ากรอบแนวคิดเกี่ยวกับศิลปะบำบัดแบบใดที่จะทำให้ผู้รับการอบรมได้เข้าถึงวิกฤติสิ่งแวดล้อมในแบบที่ผู้รับการอบรมและสังคมต้องการ
งานทบทวนวรรณกรรม
ศิลปินบำบัดได้นำแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และธรรมชาติมาใช้ในการะบวนการอบรมมาตั้งแต่ยุค 90 บางกระบวนการก็นำเอาองค์ความรู้เกี่ยวกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมมาใช้ออกแบบการรณรงค์อย่างตรงไปตรงมา บ้างก็พิจารณาว่าจะนำองค์ประกอบทางธรรมชาติมารวมเข้ากับการบำบัดได้อย่างไรเพื่อขยายขอบเขตกระบวนการเข้าสู่โลกแห่งธรรมชาติ งานทบทวนวรรณกรรมชิ้นนี้ได้สำรวจรูปแบบลักษณะของกระบวนการดังกล่าวไว้ดังต่อไปนี้
วิจิตรศิลปะบำบัด
นักวิชาการด้านวิจิตรศิลปะบำบัดที่พยายามเชื่อมโยงศิลปะบำบัดเข้ากับวิกฤติสิ่งแวดล้อมได้ทดลองรวมเรื่องสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และความเป็นธรรมทางสังคมเข้าไว้ในศิลปะบำบัด ตัวอย่างแรกของงานชิ้นนี้ได้แก่ผลงานของ Davis ผู้ซึ่งใช้คำว่า “Environmental Art Therapy” หรือศิลปะบำบัดเชิงนิเวศเป็นคนแรก ในการทำงานร่วมกับคนไร้บ้านครั้งหนึ่ง Davis สังเกตเห็นว่าสิ่งแวดล้อมที่ถูกทอดทิ้งสะท้อนถึงการละทิ้งทรัพยากรทางสังคมในย่ายที่เธอทำงานอยู่ ส่วน Sweeney เสนอการรวมตัวกันระหว่างศิลปะบำบัดกับจิตวิทยาสิ่งแวดล้อมเพื่อเขียนคู่มือที่จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถสร้างสรรงานศิลปะที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติได้เอง และระบุถึงประโยชน์ที่ผู้ปฏิบัติจะได้รับจากการเชื่อมโยงตนเองเข้ากับการสรรสร้างและธรรมชาติ ส่วน Speert นั้นทำงานโดยใช้แนวศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อมและการบำบัดร่วมกับจิตแพทย์เพื่อค้นหาอิทธิพลของความสัมพันธ์ระหว่างคนแต่ละรุ่นและระบบนิเวศในการทำความเข้าใจการบำบัด นอกจากนี้ยังเสนอให้ศิลปินผู้บำบัดใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรงานในกระบวนการบำบัด และ Carpendale ได้พัฒนากรอบดำเนินงานศิลปะบำบัดเชิงสิ่งแวดล้อมที่เป็นองค์รวมและเป็นระบบ เป็นกรอบที่ร่างแนวโน้มความรับรู้เชิงจิตวิทยาที่เกิดขึ้นจากวิกฤติสิ่งแวดล้อมและเสนอแนวทางที่มืออาชีพจะเข้าถึงความรับรู้นี้ได้ ศิลปะบำบัดเชิงสิ่งแวดล้อมตามแนวทางของ Carpendale ยังคงวิวัฒน์ต่อไปด้วยการรวมเอาการเล่าเรื่อง ศิลปะเพื่อการแสดงออก และการศึกษาสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน
การใช้ศิลปะบำบัดเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดย Cherdymova และทีมงานเป็นการออกแบบศิลปะบำบัดที่นำไปสู่ความรักสิ่งแวดล้อมกับนักเรียนศิลปะปีสอง และงานวิจัยของ Scheirich ได้สำรวจความเป็นไปได้ที่จะใช้ศิลปะบำบัดแก้ไขผลกระทบทางจิตใจที่เกิดจากภาวะโลกร้อน เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Bessone ที่มุ่งมั่นที่จะรวมเอาศิลปะบำบัดและนิเวศบำบัดเข้าด้วยกัน ส่วนหนังสือ Social Action Art Therapy in a Time of Crisis ของ Bird ได้วิจารณ์กระบวนทัศน์สิ่งแวดล้อมจากนักวิชาการชาวตะวันตก องค์ความรู้ท้องถิ่น และกรอบดำเนินการของกลุ่มชาติพันธุ์ทำให้เกิดกระบวนการศิลปะบำบัดที่รวมเอาการรณรงค์ทางสังคม นิเวศบำบัด และความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเข้าไว้ด้วยกัน และ Bird และทีมงานได้ทดลองวิธีการนี้กับคนรุ่นใหม่ในเมืองดาร์บี้เพื่อตอบสนองต่อปัญหาโลกร้อน
ศิลปะบำบัดเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการออกแบบกระบวนการแก้ปัญหาโลกร้อนและทำให้เกิดความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในทางปฏิบัติ ซึ่งปรากฏในงานลีลาศบำบัดและละครบำบัดดังที่จะกล่าวต่อไปนี้
ลีลาศบำบัด
Burns ได้รวมเอาลีลาศบำบัดเข้ากับจิตวิทยานิเวศเพื่อสร้างกรอบงานด้าน Ecosomatic Psychology ส่วนหนึ่งของงานเป็นการขยายแนวคิดของ Naess เรื่อง “Ecological Self” หรือตัวตนของระบบนิเวศเพื่อนำเข้ามาสู่ตัวตนของเรา เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Copteros ที่บรรยายงานของตนเองว่าเป็นลีลาศบำบัดในงานวิจัยนิเวศสังคมเพื่อปฏิวัติการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในอาฟริกาใต้ และยกย่องวิธีการเชิงนิเวศของชนเผ่าซูลูเพื่อสุขภาวะและออกแบบการบำบัดแบบองค์รวมจากหลายสาขาความรู้เข้าด้วยกัน
ละครบำบัด Hart ได้ร่างวิสัยทัศน์สำหรับละครบำบัดไว้ว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่รวมเอาการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมเข้ากับการละครเพื่อให้เกิดพลังแห่งการสื่อสาร ส่วนงานของ Nosworthy วิเคราะห์ละครบำบัดและสิ่งแวดล้อมในอาฟริกาใต้เพื่อนำไปใช้ในการสนับสนุนการรับมือกับภาวะโลกร้อน