THAI CLIMATE JUSTICE for All

ศิลปะบำบัดกับวิกฤติสิ่งแวดล้อม: กรอบดำเนินงานเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม

เขียนโดย Heather McLaughlin และ Deborah Seabrook
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง The creative arts therapies and the climate crisis: Toward a framework for intentional engagement

คีตบำบัด

Strides ได้ทำทั้งงานวิจัยเชิงทฤษฎีและการนำอาคีตบำบัดไปใช้รักษาผู้ที่วิตกกังวลต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อม ส่วน Seabrook ให้ความเห็นว่านักบำบัดที่ใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการรักษามีหน้าที่ที่จะต้องร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเสนอแนวทางดำเนินการอย่างเร่งด่วนไปพร้อมๆกับการปฏิบัติการทางอาชีพ ทางคลีนิค และทางวิชาการตามปกติ นอกจากนี้ Seabrook ยังได้เสนอแนวทางที่ใช้ดนตรีแนวธรรมชาติมาใช้ในการรักษาอาการวิตกกังวลต่อภาวะโลกร้อนที่ยังเป็นแนวคิดที่ใหม่มากในเวลานั้น ต่อมานักบำบัดด้วยดนตรีได้เริ่มผนวกเอาเรื่องวิกฤติสิ่งแวดล้อมมาใช้เมื่อมีการขยายขอบเขตงานของตนให้กว้างขึ้นจากเดิมที่เน้นมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งและสิทธิมนุษยชน

ตัวอย่างของงานวิจัยเชิงปฏิบัติการทางคีตบำบัดได้แก่งานของ Coombes กับ Sayers ในปี 2020 ที่ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของสมาชิก British Association of Music Therapy ในประเทศเวลช์เกี่ยวกับการเดินทางไปทำงาน ความยั่งยืนในการเลือกซื้อเครื่องดนตรี และการรักษาผู้ป่วย งานวิจัยพบว่า 75% ของกลุ่มเป้าหมายเดินทางไปทำงานโดยใช้รถยนต์ส่วนตัว และคุณภาพเสียงและราคาของเครื่องดนตรีเป้นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเหนือเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม ต่อมาในปี 2023 Ames ได้เข้าสังเกตการณ์การบำบัดโดยใช้ดนตรีที่มุ่ง “บำบัดความกังวล สร้างการเปลี่ยนแปลง และสนับสนุนการพัฒนาจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมของผู้รับการบำบัด” ในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาดนตรีบำบัดเพื่อสิ่งแวดล้อม

ศิลปะบำบัด

แม้ว่างานทบทวนวรรณกรรมชิ้นนี้จะกล่าวถึงศิลปะบำบัดเพียงสาขาเดียว แต่ก็ แต่ก็มีงานอื่นๆหลายงานก็ศึกษาวิกฤติสิ่งแวดล้อมในงานศิลปะบำบัดทุกสาขา เช่นงานของ Siddons Heginworth และ Nash ในปี 2019 ได้รวมเอากระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในศิลปะบำบัดทุกสาขามาไว้ในตำราเล่มเดียวเพื่อให้เกิดการอภิปรายข้ามสาขา เช่นเดียวกับงานของ Wittig และ Davis ในปี2012 ที่อุทิศให้กับการนำเอางานวิจัยด้านความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมมาใช้ในห้องปฏิบัติการศิลปะบำบัด

งานทบทวนวรรณกรรมชิ้นนี้จะแสดงให้เห็นว่าแม้นักวิชาการบางรายจะสนใจรวมเอาเรื่องวิกฤติสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในงานศิลปะบำบัดทุกสาขา แต่ก็ยังขาดศิลปะบำบัดสาขาที่สามารถตอบโจทย์เรื่องสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมบูรณ์

ระเบียบวิธีการวิจัย : พัฒนากรอบแนวคิด

งานชิ้นนี้ได้ผสมผสานแนวคิดเชิงปรัชญาเข้ากับการวิเคราะห์ข้อมูลความเป็นธรรมทางสังคมเชิงคุณภาพเข้าด้วยกัน แนวคิดเชิงปรัชญาเป็นวิธีการด้านกว้างในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับการคาดการณ์ วิเคราะห์ และวิจารณ์ ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมในการสำรวจระบบที่เกี่ยวข้องกับศิลปะบำบัดและวิกฤติสิ่งแวดล้อมเพราะว่าสามารถนำมาอธิบายเงื่อนไขได้อย่างชัดเจน ประเมินสมมติฐานที่ใช้ และเชื่อมโยงไอเดียที่เป็นทฤษฎีเข้ากับระบบ และใช้การถกเถียงอภิปรายเป็นแนวทางหลักในการทดสอบแนวคิดและนำเสนอ

งานชิ้นนี้ใช้วิธีการซักค้านที่ทำให้แนวคิดเชิงปรัชญาเป็นทั้งความสัมพันธ์และความเชื่อว่าอนาคตสามารถที่จะดีขึ้นได้ ในการใช้แนวทางเชิงปรัชญาดังกล่าว เราใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อจัดการ Concepts ต่างๆที่เกี่ยวข้อง และใช้การซักค้านเพื่อปลดปล่อยความคิดและความรู้สึกที่อยู่ภายในจิตใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ออกมา ดังนี้

  • นำข้อมูลและองค์ความรู้ที่มีอยู่มาพิจารณา รื้อถอนกระบวนการอำนาจ และนำระบบโครงสร้างที่เป็นอยู่มาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
  • ชี้ให้เห็นถึงอีโก้และความชอบที่จะควบคุมผู้อื่นของมนุษย์และพยายามกำหนดทิศทางให้ใหม่
  • สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบแทนที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงเส้น
  • ระลึกถึงสถานที่ตั้งทางสังคมและประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของตนเองไว้เสมอ รวมถึงกับดักที่เกิดจากระบบอภิสิทธิ์และการลดความสำคัญของผู้อื่น
  • ใช้งานนี้รื้อถอนระบบศูนย์กลางอำนาจและอาณานิคมด้วยการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์งานของผู้อื่น รับรองการมีส่วนร่วมของผู้อื่น สาธิตการทำงานของตนเอง และทำงานอย่างสม่ำเสมอด้วยความมุ่งมั่น
  • ยอมรับความซับซ้อนของงาน
  • ระวังที่จะไม่ติดกับดักทางความคิดหรือตรรกะผิดๆว่าผลเกิดจากเหตุปัจจัยเพียงปัจจัยเดียว เป็นต้น

งานวิจัยนี้ประกอบไปด้วยสี่กระบวนการ กระบวนการแรกได้แก่การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับศิลปะบำบัดและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระบวนการที่สองได้แก่การจัดอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดจากสิ่งที่ได้ทบทวนมาเมื่อเทียบกับประสบการณ์และความรู้ของผู้วิจัย บันทึกการอภิปราย และเน้นคำสำคัญ ขั้นตอนต่อมาทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาที่ได้จากการอภิปรายเพื่อจัดหมวดหมู่ สาม ใช้ซอฟท์แวร์แปลง Concept ที่ได้ให้เป็นรูปภาพเพื่อเก็บข้อมูลที่ไม่ได้เป็นคำพูด

เราใช้การแทนข้อมูลด้วยรูปภาพตลอดทั้งกระบวนการจนกระทั่งการจัดหมวดหมู่ข้อมูลเสร็จสมบูรณ์และได้กรอบแนวคิด จึงนำเอาหมวดหมู่ที่ได้บันทึกลงสเปรดชีทเพื่อให้เข้าใจง่าย ขั้นตอนสุดท้ายได้แก่การสำรวจหมวดหมู่แต่ละหมวดว่าจะนำมาใช้สร้างกรอบแนวคิดได้อย่างไร ในขั้นตอนนี้เราดำเอาไอเดียออกมาจากแต่ละหมวดเพื่ออธิบายความและยกตัวอย่างประกอบ

ผลการวิจัย : กรอบแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับนักศิลปะบำบัด

ผลการวิจัยอธิบายแนวคิดที่สนับสนุนกระบวนการศิลปะบำบัดให้นำเอาเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้ามาสอดแทรกในกระบวนการจำนวน 7 หมวดหมู่ โดยใช้ความเท่าเทียม ความหลากหลาย การมีส่วนร่วม และการกระจายอำนาจเป็นศูนย์กลางของกรอบดำเนินการนี้เนื่องจาก “วิกฤติสิ่งแวดล้อมและความไม่เป็นธรรมทางสังคมนั้นคือความเสื่อมทรามที่หนุนเสริมซึ่งกันและกันที่เกิดจากความผิดพลาดของระบบเดียวกัน” การลงมือปฏิบัติการในแต่ละหมวดหมู่อาจตรงไปตรงมา อ้อมค้อม จงใจ ไม่เจตนา ก้าวหน้า ถอยหลัง สเกลใหญ่ สเกลเล็ก ดำเนินการโดยบุคคล หรือดำเนินการโดยกลุ่มก็ได้ หมวดหมู่ดังกล่าวได้แก่ (a) Destructive ∞ Productive Protections, (b) Preventing ∞ Promoting Survival, (c) Obstacles to ∞ Facilitator of Life-sustaining Change, (d) Time, (e) Emotional Responses, (f) Ethics and Morality, และ (g) System Change

เราใช้สัญลักษณ์ Infinity (∞) เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเกิดซ้ำที่ซับซ้อนกันในจังหวะของการเปลี่ยนแปลง บางสิ่งที่ดูเหมือนการสร้างสิ่งใหม่ๆในระดับหนึ่งของระบบอาจก่อให้เกิดความเสียหายในระดับอื่น นอกจากนี้เรายังพิจารณาหมวดหมู่เหล่านี้ว่ามีปฏิสัมพํน์กันในแบบและทิศทางต่างๆกัน และเป็นหน้าที่ของเราที่จะค้นหาว่าทั้ง 7 หมวดสามารถเชื่อมโยงผ่านภาพ คำอุปมา เสียง การเคลื่อนไหว และการเรียนรู้แบบอื่นๆได้อย่างไร

กรอบแนวคิดนี้มิได้พยายามอธิบายว่าคนคนหนึ่งจะเป็นนักศิลปะบำบัดเพื่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรและก็ไม่ใช่คู่มือการบำบัดรักษาผู้รับการอบรม แต่แสดงถึงขอบเขตที่กว้างขวางของการปฏิบัติการในบริบทที่หลากหลายและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเหมาะสม กรอบแนวคิดนี้จึงเหมาะสำหรับให้ผู้ใช้นำไปเชื่อมโยงกับกรอบดำเนินการอื่นๆด้วย

หมวดที่ 1: destructive ∞ productive protection หรือการปกป้องตัวเองเชิงบวก ∞ เชิงลบ

หมวดที่ว่าด้วยการปกป้องตัวเองเชิงบวก ∞ เชิงลบ กระตุ้นความใคร่รู้เกี่ยวกับจิตใจ สภาวะทางจิต และ/หรืออารมณ์ที่มีต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่เป็นระบบป้องกันตัวเองของมนุษย์ ระบบป้องกันดังกล่าวมักจะเปลี่ยนไปมาระหว่างการปกป้องตัวเองเชิงลบการปกป้องตัวเองเชิงบวกอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือการปกป้องตัวเองเชิงลบคือความคงอยู่ของวิกฤติสิ่งแวดล้อม ในขณะที่การปกป้องตัวเองเชิงบวกคือการแทรกแซง ดังนั้นแม้ว่ากลไกป้องกันตัวเองนี้จะถูกใช้เพื่อการป้องกันเสียเป็นส่วนใหญ่ (โดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว) แต่บางครั้งก็ทำให้เกิดความเสียหายได้ ยกตัวอย่างเช่นการตัดสินใจขชองมนุษย์ที่สนใจแต่หน้าที่ความรับผิดชอบในชีวิตประจำวันและละเลยที่จะมีส่วนร่วมแก้ปัญหาโลกร้อนหรือความไม่เป็นธรรมทางสังคม ความซับซ้อนนี้เพิ่มสูงขึ้นเมื่อมนุษย์มีหลายบทบาทในสังคมเช่นบทบาทของความเป็นปัจเจก เป็นสมาชิกของครอบครัว เป็นสมาชิกในสังคม เป็นนักบำบัด เป็นพนักงานขององค์กร ซึ่งมีการเชื่อมโยงระหว่างบทบาทต่างๆและสมาชิกคนอื่นๆทั่วกันทั้งหมด รวมถึงการปกป้องตัวเองเชิงบวก ∞ เชิงลบที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

ประสบการณ์ของมนุษย์ในฐานะที่เป็นหลายบทบาทเช่นนี้ ทำให้บ่อยครั้งที่มนุษย์ใช้การปกป้องตัวเองเชิงลบในรูปแบบของการปฏิเสธ ละเลย และหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่ประสบอัคคีภัยในออสเตรเลียให้สัมภาษณ์ว่าอัคคีภัยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป้นประจำทุกปีและผู้คนนั้นตื่นตระหนกกันเกินไปเอง กรอบความคิดนี้อาจปกป้องผู้ประสบภัยจากความวิตกกังวลก็จริง แต่ก็ทำให้คนเหล่านั้นไม่ลงมือทำอะไรที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีส่วนแพร่กระจายข่าวเท็จที่ปฏิเสธภาวะโลกร้อนอีกด้วย

ในทางตรงกันข้าม การปกป้องตัวเองเชิงบวกเป็นกรอบแนวคิดที่มีประสิทธิภาพยั่งยืนในระยะยาว ยกตัวอย่างเดิมเรื่องอัคคีภัยว่า ผู้ประสบภัยบางรายอาจตกอยู่ในภาวะช็อคและไม่ลงมือแก้ปัญหา แต่ก็ตระหนักถึงความรุนแรงของความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ในกรณีเช่นนี้นักบำบัดอาจช่วยให้พวกเขาพิจารณาสถานการณ์โดยละเอียดและสร้างสรรและช่วยออกแบบแนวทางป้องกันที่เหมาะสมกับบริบทของพวกเขาได้ หรืออาจยกระดับการเคลื่อนไหวไปสู่การเรียกร้องการแก้ปัญหาป่าเสื่อมโทรมจากภาครัฐ และในสถานการณ์ที่เหมาะสม กลไกป้อนกันตัวแบบอื่นอย่างเช่นการใช้อารมณ์ขันมาช่วยบรรเทาความกังวล ช่วยให้ผู้คนสามารถเชื่อมโยงกันและร่วมมือกันทำงานในสเกลที่ใหญ่ขึ้นได้

ส่วนบทบาทของนักบำบัดนั้น บางครั้งนักบำบัดก็รู้สึกว่าอยากที่จะโอนอ่อนผ่อนตามกลไกการปกป้องตัวเองเชิงลบของผู้รับการอบรม ซึ่งอาจใช้การเฝ้าดูและให้คำแนะนำอยู่ห่างๆได้ แต่เราก็ขอแนะนำให้ทั้งนักบำบัดและผู้รับการอบรมใช้การปกป้องตัวเองเชิงบวกให้เกิดความชำนาญและเข้าถึงง่ายด้วยการยกขึ้นมาให้เห็นเด่นชัดทันที่ที่ปรากฏขึ้นในกระบวนการ

คำถามสำหรับอภิปราย

  • อะไรคือผลกระทบจากกลไกป้องกันตัวจากภาวะโลกร้อนของมนุษย์ต่อตนเอง ผู้รับการอบรม เพื่อนร่วมงาน ชุมชน องค์กร และรัฐ?
  • ข้อมูล อารมณ์ความรู้สึก และประสบการณ์ทางกายประเภทใดที่มนุษย์พยายามหลีกเลี่ยง? และการหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์ลงมือกระทำในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและ/หรือป้องกันตัวเองหรือไม่?
  • ถ้ามองสิ่งเหล่านี้ในมุมมองที่กว้างขึ้น เราจะพบข้อดีข้อเสียอะไรที่เราพลาดไปในการมองครั้งแรกหรือไม่?

หมวดที่ 2: preventing ∞ promoting survival หรือการเอาชีวิตรอดเชิงป้องกัน ∞ เชิงสนับสนุน

หมวดการเอาชีวิตรอดเชิงป้องกัน ∞ เชิงสนับสนุนนี้ทำให้นักศิลปะบำบัดพิจารณาว่าการกระทำและทางเลือกของมนุษย์แต่ละคนช่วยสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ได้อย่างไร

ขั้นตอนแรกขอให้เรามาพิจารณากระบวนการย่อยในศิลปะบำบัดที่การเอาชีวิดรอดรอดเป็นอุปสรรคต่อการสนับสนุนการแก้ปัญหาโลกร้อน ยกตัวอย่างเช่นการจัดการประชุมระดับชาติหรือนานาชาติต้องใช้การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นจำนวนหลายร้อยเที่ยวบิน ซึ่งเป็นวิธีการเดินทางที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดขยะอาหาร ภาชนะใช้ครั้งเดียวทิ้ง สารทำความสะอาด และขยะอื่นๆอีกเป็นปริมาณมาก นอกจากนี้การประชุมแบบออนไซต์ยังมีข้อจำกัดตรงที่สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่มีเวลาและทรัพยากรในขณะนั้น แน่นอนว่าการพบหน้าค่าตากันมีประโยชน์มากมายด้านการสร้างความสัมพันธ์ การเรียนรู้ร่วมกัน และสร้างการมีส่วนร่วมในเรื่องวิกฤติสิ่งแวดล้อม แต่การออกแบบการประชุมเสียใหม่เพื่อให้เกิดความยั่งยืนก็จำเปิดโอกาสให้เกิดการออกแบบการประชุมแบบใหม่ๆได้ ไอเดียอย่างการประชุมแบบไฮบริดที่ขยายการมีส่วนร่วมให้กว้างออกไปสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่สามารถเข้ามาประชุมได้เลย และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย หรือรวมเอาการประชุมเข้ากับงานเทศกาลประจำท้องถิ่นเปิดโอกาสให้สมาชิกชุมชนพบปะกับองค์กรผู้จัดและสื่อสารกับผู้ที่เข้าร่วมทางออนไลน์ได้ และขั้นตอนต่อไปคือลดการประชุมออนไซต์ลงและหันมาใช้วิธีออนไลน์และไฮบริดสลับกันไปให้มากขึ้นเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

คำถามสำหรับอภิปราย

  • การกระทำที่เป็นการเอาชีวิตรอดเชิงสนับสนุนในสายงานอาชีพของคุณมีอะไรบ้าง?
  • มีบุคคล บทบาท ทักษะ และทรัพยากรอะไรบ้างที่สามารถนำมาเสริมสร้างศักยภาพในอาชีพเพื่อการเอาชีวิตรอดได้ดีขึ้น? และมีอะไรบ้างที่เหมาะสมกับผู้เข้ารับการอบรมและตัวนักบำบัดเอง?
  • ผลกระทบอะไรบ้างที่เกิดขึ้นจากการเอาชีวิตรอดถ้ามองย้อนไปในอดีตและมองให้กว้างขึ้น?

หมวดที่ 3: obstacles to ∞ facilitator of life-sustaining change หรือปัจจัยสนับสนุน ∞ อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงด้านการยังชีพ

ปัจจัยสนับสนุน ∞ อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงด้านการยังชีพคือปฏิสัมพันธ์ของการเคลื่อนตัวเข้าหากระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านการยังชีพและเคลื่อนตัวออกจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านการยังชีพในยามวิกฤติสิ่งแวดล้อม และเราจะต้องจำไว้ให้ดีว่าการเดินทางเข้าหาการเปลี่ยนแปลงนั้นมักไม่ได้เป็นเส้นตรงอย่างง่ายๆ แต่มักจะมีความซับซ้อนและหลายทิศทาง

ขั้นตอนแรก เราพิจารณาถึงอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงด้านการยังชีพอันได้แก่วิกฤติสิ่งแวดล้อมในกระบวนการศิลปะบำบัด ความท้าทายที่นักศิลปะบำบัดอาจพบได้แก่ความพยายามที่จะใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะสินค้าที่มีความยั่งยืนนั้นราคาสูงกว่าสินค้าทั่วไปมาก

การเลือกซื้อสินค้าในยุคปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนได้มาก เพราะเหล่าบริษัทที่ฟอกเขียวมักจะบอกลูกค้าของตนว่าสินค้าของตนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าความเป็นจริง สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่นักศิลปะบำบัดอาจต้องการใช้ เช่นอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ที่ได้มาจากการผลิตอย่างยั่งยืน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานนั้นอาจมีราคาที่สูงกว่าสินค้าปกติมาก ราคาที่สูงนี้เป้นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงด้านการยังชีพเมื่อนักศิลปะบำบัดที่อุทิศตนเพื่อทำงานด้านความเป็นธรรมทางสังคมมักมีรายได้ที่จำกัดด้วยกลไกของระบบ

เมื่อมีสินค้าที่เหมาะสมอยู่ในตลาด เราขอให้ผู้ซื้อสินค้าพิจารณาซื้อสินค้าจากคุณค่าของมัน ยกตัวอย่างเช่นผู้ผลิตสีน้ำมัน Anong Migwans Beam จาก M′Chigeeng ประเทศแคนาดาได้ออกสีที่ปราศจากสารพิษที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติเช่นน้ำผึ้ง อย่างไรก็ตาม วิกฤติสิ่งแวดล้อมมักเกี่ยวพันกับระบบที่มีลักษณะกดขี่อื่นๆอย่างแนบแน่น ทำให้ผู้มีรายได้น้อยไม่สามารถหาซื้อสินค้าที่มีความยั่งยืนมากกว่าได้ นอกจากนี้การโฆษณาชวนเชื่อเชิงฟอกเขียวยังทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเราสามารถช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคส่วนบุคคลแทนที่จะกล่าวหาภาคอุตสาหกรรมว่าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบที่จะทำให้ผู้บริโภคบริโภคสินค้าให้น้อยลง

Scroll to Top