
ซึ่งหากเรายังคงใช้แนวทางนี้ต่อไป ผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นเพียง “ภาพลวงตาของการแก้ปัญหา” ที่ช่วยลดผลกระทบบางส่วน แต่ไม่ได้แก้ต้นตอที่แท้จริงของปัญหา
1. การแก้ปัญหาแบบปัจเจกบุคคล: เปลี่ยนพฤติกรรมแต่ไม่เปลี่ยนโครงสร้าง
การรณรงค์ให้แต่ละคนลดการปล่อยคาร์บอน เช่น ใช้ถุงผ้า รีไซเคิล หันมากินอาหาร Plant-based หรือซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่เพียงพอ เพราะปัญหาใหญ่ของภาวะโลกร้อนไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่ โครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลและบริโภคนิยม
ผลลัพธ์หากมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงระดับบุคคลเพียงอย่างเดียว
1. คนจำนวนมากเปลี่ยนพฤติกรรม แต่โลกยังคงเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไป
- การเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวมีผลกระทบน้อยมากเมื่อเทียบกับการปล่อยมลพิษของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น บริษัทพลังงาน 100 อันดับแรกของโลก มีส่วนในการปล่อย CO₂ ถึง 71% ของทั้งหมด (Carbon Majors Report, 2017)
- ต่อให้ 1 พันล้านคนเลิกใช้ถุงพลาสติกหรือใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่อุตสาหกรรมน้ำมันและถ่านหินยังคงทำกำไรจากการขุดและเผาเชื้อเพลิง โลกก็ยังร้อนขึ้นอยู่ดี
2. ผลักภาระไปที่ประชาชน แทนที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลและบริษัทเปลี่ยนนโยบาย
- บริษัทน้ำมันและบริษัทยักษ์ใหญ่ผลักดันให้ประชาชนรู้สึกผิดกับ Carbon Footprint ของตัวเอง แต่ไม่ยอมลดการผลิตและขายเชื้อเพลิงฟอสซิลของตัวเอง
- ความกดดันถูกวางอยู่ที่ผู้บริโภคมากกว่าที่บริษัทหรือรัฐบาลจะต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
3. ความเหลื่อมล้ำด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
- คนที่มีฐานะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ด้วยการติดแผงโซลาร์เซลล์ ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และเลือกอาหารที่ยั่งยืนได้ ในขณะที่คนจนในประเทศกำลังพัฒนายังต้องพึ่งพาพลังงานราคาถูกจากถ่านหินและแก๊ส
- สุดท้าย ภาระของภาวะโลกร้อนตกอยู่ที่กลุ่มเปราะบาง เช่น เกษตรกรรายย่อยในเอเชียและแอฟริกา ที่ต้องเผชิญกับภัยแล้งและน้ำท่วม
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
บริษัทน้ำมันรายใหญ่ เช่น BP (British Petroleum) เคยรณรงค์ให้ประชาชนลด Carbon Footprint ของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน BP ก็ยังคงลงทุนในโครงการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่
2. การพึ่งพาเทคโนโลยี: โซลูชันที่อาจกลายเป็นกับดัก
เทคโนโลยีสีเขียว เช่น รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ และการดักจับคาร์บอน ถูกนำเสนอเป็นทางออกของปัญหาโลกร้อน แต่หากมองลึกลงไป เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ หากไม่เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและพฤติกรรมการบริโภคไปพร้อมกัน
ผลลัพธ์หากพึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่เปลี่ยนโครงสร้าง
1. “Green Growth” อาจเป็นเพียงภาพลวงตา
- เทคโนโลยีสีเขียวต้องการวัตถุดิบจำนวนมหาศาล เช่น การผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ใช้พลังงานและแร่ธาตุที่มีจำกัด
- การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดอาจลดการปล่อยคาร์บอน แต่ถ้ายังใช้วัตถุดิบจากเหมืองที่ทำลายระบบนิเวศ ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมก็ยังเป็นลบ
2. การปล่อยมลพิษยังคงสูงขึ้นต่อไป เพราะไม่มีการลดการใช้พลังงานโดยรวม
- แม้จะใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่นโยบายเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังคงเน้นการเติบโตแบบทวีคูณ (infinite growth) ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- ผลลัพธ์คือ โลกยังคงปล่อย CO₂ เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีพลังงานสะอาดมากขึ้นก็ตาม
3. เทคโนโลยีกลายเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลและบริษัทชะลอการลดคาร์บอน
- หลายประเทศชะลอการลดการใช้พลังงานฟอสซิล โดยอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนในอนาคตแทน
- บางประเทศ เช่น ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ยังคงขยายโครงการพลังงานฟอสซิลโดยอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยี “Carbon Capture” มาแก้ปัญหาในภายหลัง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
แม้ว่า รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จะลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้น้ำมัน แต่กระบวนการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมกลับสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมและการแย่งชิงทรัพยากร เช่น การขุดเหมืองลิเธียมในโบลิเวียส่งผลให้แหล่งน้ำของชุมชนแห้งเหือด
3. ถ้าไม่เปลี่ยนโครงสร้าง อนาคตของโลกจะเป็นอย่างไร
หากการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนยังคงเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงปัจเจกบุคคลและเทคโนโลยีโดยไม่แตะต้องโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมือง ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ในอีก 20-30 ปีข้างหน้าคือ
1. การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นช้าเกินไป ขณะที่คนทั่วไปพยายามลดขยะและใช้พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ยังคงขยายการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้การปล่อย CO₂ ทั่วโลกยังเพิ่มขึ้น
2. กลุ่มเปราะบางยังคงได้รับผลกระทบหนักที่สุด คนรวยสามารถซื้อเทคโนโลยีสีเขียวและย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า แต่ประชากรในประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับภัยแล้ง น้ำท่วม และคลื่นความร้อน
3. ความรุนแรงเชิงโครงสร้างทางสิ่งแวดล้อมจะดำรงอยู่ต่อไป การเปลี่ยนผ่านพลังงานอาจเกิดขึ้น แต่หากระบบเศรษฐกิจยังคงมุ่งเน้นกำไรสูงสุดและการเติบโตไม่จำกัด โลกก็จะยังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนขึ้น
4. ทางออก การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างควรเป็นอย่างไร
- ยกเลิกเงินอุดหนุนพลังงานฟอสซิล และใช้กฎหมายบังคับลดคาร์บอนของอุตสาหกรรม
- ปรับระบบเศรษฐกิจให้รองรับแนวคิด “Post-Growth” หรือการเติบโตที่ยั่งยืน
- ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice) เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
สรุป การเปลี่ยนพฤติกรรมและเทคโนโลยีอาจเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แต่ถ้าเราไม่เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจและพลังงาน ผลลัพธ์ก็จะเป็นเพียงการ “ซื้อเวลา” โดยที่ปัญหายังคงอยู่