
ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) ถูกเสนอเป็นกลไกเศรษฐศาสตร์ที่ทรงพลังในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเชื่อว่า “การตั้งราคาสำหรับการปล่อยคาร์บอน” จะทำให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีแรงจูงใจในการลดการปล่อยอย่างมีประสิทธิภาพ ทว่าแนวคิดนี้เมื่อถูกนำไปใช้งานจริงในสเกลใหญ่ กลับสะท้อนปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Jevons Paradox” หรือกับดักของประสิทธิภาพ กล่าวคือ ยิ่งเราพัฒนาเทคโนโลยีหรือกลไกให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการบริโภคเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้การใช้ทรัพยากรรวมและการปล่อยคาร์บอนกลับเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง
1. ตัวอย่างปรากฏการณ์ในระดับสเกลใหญ่ กลุ่มประเทศในยุโรปและโครงการ ETS
ระบบการซื้อขายสิทธิปล่อยคาร์บอนของสหภาพยุโรป (EU Emissions Trading System – EU ETS) ซึ่งเป็นตลาดคาร์บอนขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้แสดงให้เห็นถึงกับดักเชิงโครงสร้างนี้อย่างชัดเจน หลายบริษัทที่ได้รับแรงจูงใจจากระบบ ETS ได้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อลดต้นทุนคาร์บอนต่อหน่วยการผลิต แต่ในหลายกรณี เช่น ภาคพลังงานและอุตสาหกรรมเหล็กและปูนซีเมนต์ กลับขยายกำลังการผลิตมากขึ้นเพราะต้นทุนต่อหน่วยลดลง ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนรวมของภาคนั้นไม่ได้ลดลงอย่างที่คาดหวัง (Anderson & Broderick, 2017)
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ในปี 2018–2022 แม้บริษัทพลังงานหลายแห่งในยุโรปหันมาใช้เทคโนโลยีประสิทธิภาพสูง เช่น โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การผลิตพลังงานโดยรวมกลับเพิ่มขึ้น 7.3% จากความต้องการใช้งานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมการผลิต ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนรวมในบางประเทศกลับไม่ลดลงตามเป้าหมาย
อีกทั้ง การจัดซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการ REDD+ (Reducing Emissions from Deforestation and forest Degradation) ที่ถูกใช้เป็นวิธีการชดเชยคาร์บอนในระดับโลก พบว่าในหลายกรณีเกิดการซื้อสิทธิ์จากพื้นที่ที่ไม่ได้มีความเสี่ยงถูกตัดไม้จริง หรือเกิดการเบียดขับชุมชนพื้นเมืองออกจากพื้นที่ป่า เช่น ในบางพื้นที่ของบราซิลและอินโดนีเซีย บริษัทเอกชนซื้อคาร์บอนเครดิตจากพื้นที่ป่าที่อยู่ภายใต้การจัดการของชุมชนพื้นเมือง โดยไม่ยอมรับสิทธิในการจัดการของชุมชน (West et al., 2020) สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แม้จะดูเหมือนเป็นการบริหารจัดการคาร์บอนอย่างยั่งยืน แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงกลไกชะล้างความรู้สึกผิดทางศีลธรรม (moral license) ที่ทำให้ผู้บริโภคหรือองค์กรรู้สึกว่าได้ชดเชยคาร์บอนแล้ว และสามารถปล่อยคาร์บอนต่อไปได้อย่างสบายใจ
2. Jevons Paradox กับตลาดคาร์บอน วิเคราะห์เชิงโครงสร้างและผลกระทบเป็นลูกโซ่
ปรากฏการณ์ Jevons Paradox ชี้ให้เห็นข้อจำกัดของการเน้นประสิทธิภาพในระบบเศรษฐกิจเสรีแบบทุนนิยม การพัฒนาเทคโนโลยีให้ใช้พลังงานต่อหน่วยน้อยลงมักมาพร้อมกับต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง ทำให้การบริโภคขยายตัวในระดับมหภาค ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้าถูกมองว่าเป็นทางออกเชิงสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อมีการใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ความต้องการการผลิตไฟฟ้าและเหมืองลิเธียมกลับเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล (IEA, 2023)
ผลกระทบในระดับโครงสร้างเชื่อมโยงเป็นลูกโซ่ ดังนี้
ทรัพยากรธรรมชาติถูกเร่งใช้ในด้านอื่น เช่น การทำเหมืองแร่ลิเธียมและโคบอลต์ซึ่งกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนท้องถิ่น
การชดเชยคาร์บอนเปิดช่องให้การผลิตคาร์บอนสูงยังดำเนินต่อไป เช่น สายการบินที่โปรโมตเที่ยวบิน ‘net-zero’ ผ่านการซื้อคาร์บอนเครดิต แต่ไม่ได้ลดจำนวนเที่ยวบินจริง
เกิดการละเลยต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริโภค เช่น เมืองยังคงพัฒนาแบบ car-dependent แทนการลงทุนในขนส่งมวลชน
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าตลาดคาร์บอนอาจกลายเป็นกลไก “เบี่ยงเบน” การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีในกรอบเดิม โดยไม่ตั้งคำถามถึงระบบการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยการเติบโตอย่างไม่จำกัด
3. ข้อเสนอ ทบทวนตลาดคาร์บอนและออกแบบนโยบายที่ยึดโยงกับความเป็นธรรมและขีดจำกัดของระบบนิเวศ
การแก้ปัญหาตลาดคาร์บอนที่ติดกับดักของ Jevons Paradox จำเป็นต้องยกระดับจากการมุ่งที่ “ประสิทธิภาพ” ไปสู่การพิจารณาเรื่อง “ขีดจำกัดของระบบนิเวศ (planetary boundaries)” และ “ความเป็นธรรมทางสังคม (climate justice)”
ข้อเสนอหลัก ได้แก่
1. กำหนดเพดานการใช้ทรัพยากรแบบสัมบูรณ์ (absolute resource caps) ไม่ใช่เพียงการลดต่อหน่วย เช่น กำหนดโควตาการใช้พลังงานและวัตถุดิบในภาคเศรษฐกิจต่างๆ
2. ยกเลิกการพึ่งพาคาร์บอนเครดิตชดเชย โดยเฉพาะจากพื้นที่ป่าของโลกใต้ และพัฒนาแนวทางให้การลดคาร์บอนเป็นผลลัพธ์จากการเปลี่ยนระบบผลิต ไม่ใช่แค่การซื้อสิทธิ์
3. หนุนเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ยั่งยืนและไม่เน้นการเติบโตไร้ขีดจำกัด เช่น แนวคิด post-growth, degrowth และเศรษฐกิจชุมชน
4. ออกแบบนโยบายแบบมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและชุมชนท้องถิ่น ไม่ปล่อยให้กลุ่มธุรกิจและกลไกตลาดกำหนดทิศทางโดยลำพัง
5. ส่งเสริมความรู้สาธารณะและการตั้งคำถามต่อโครงสร้างการบริโภค ผ่านสื่อ การศึกษา และศิลปะ เพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ไม่วัดคุณค่าจากการบริโภคเพียงอย่างเดียว
4. ทางออกจากประชาชน พลังของการขับเคลื่อนระดับรากหญ้า
ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ประชาชนและขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนได้เสนอทางออกที่จับต้องได้ ตัวอย่างเช่น
ขบวนการของชนพื้นเมืองในอเมริกาใต้ที่ปกป้องป่าโดยอิงจากสิทธิของธรรมชาติ (rights of nature) และปฏิเสธการขายคาร์บอนเครดิตจากดินแดนบรรพชน
ชุมชนในยุโรปที่รวมกลุ่มสร้างโครงการพลังงานท้องถิ่นแบบ non-profit เพื่อลดการพึ่งพาตลาดพลังงานกลางและเน้นความเป็นธรรมด้านพลังงาน
กลุ่มเยาวชนและศิลปินที่ใช้ศิลปะ การรณรงค์ และการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อตั้งคำถามต่อระบบเศรษฐกิจที่เน้นการเติบโตอย่างไม่จำกัด
การขับเคลื่อนจากฐานล่างเหล่านี้ไม่เพียงเป็นแรงต้าน แต่เป็นการสื่อสารให้สังคมตระหนักว่าความยั่งยืนไม่อาจบรรลุได้เพียงด้วยกลไกตลาด แต่ต้องการจินตนาการใหม่ การสร้างความหมายใหม่ และการเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
สรุป
การตั้งราคาคาร์บอนหรือการใช้ตลาดคาร์บอนไม่ได้เป็นคำตอบสมบูรณ์ หากไม่ได้รับการออกแบบภายใต้การเข้าใจปรากฏการณ์ Jevons Paradox ที่อาจทำให้การประหยัดกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการใช้มากขึ้น หากต้องการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างแท้จริง จำเป็นต้องเปลี่ยนจากการมองปัญหาเชิงเทคนิคสู่การทบทวนโครงสร้างเศรษฐกิจและค่านิยมทางสังคมที่อยู่เบื้องหลังการบริโภคอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยทั้งนโยบายที่กล้าหาญ ภาคประชาชนที่เข้มแข็ง และการขยายพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ช่วยให้มนุษย์สามารถฝันถึงโลกที่ดีขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเติบโตอย่างไร้ขอบเขต
อ้างอิง
Anderson, K., & Broderick, J. (2017). Natural gas and climate change. Nature Energy, 2(11), 735–738.
West, T. A. P., et al. (2020). Overstated carbon emission reductions from voluntary REDD+ projects in the Brazilian Amazon. PNAS, 117(39), 24188–24194.
International Energy Agency (IEA). (2023). Global EV Outlook 2023. Retrieved from https://www.iea.org/reports/global-ev-outlook-2023