THAI CLIMATE JUSTICE for All

ประเทศไทยพร้อมแค่ไหนกับ พ.ร.บ.การเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.…?

นี่คือคำถามที่ชวนให้หน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม และประชาชน มารวมตัวกันในเวทีสัมมนา เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ

เพราะการไปถึง Net Zero คือเป้าหมายร่วมกันของทุกประเทศภายใต้อนุสัญญาปารีส และไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น การสัมมนาครั้งนี้จึงเหมือนเป็นการย้ำเตือนกับทุกภาคส่วนว่า ไทยกำลังเดินหน้าไปสู่ Net Zero อย่างจริงจังเพียงใด ผ่าน พ.ร.บ.การเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.… และแผน NDC 3.0

ก่อนเข้าสู่แนวทางของไทย เวทียังได้เปิดพื้นที่ให้ผู้แทนจากระดับนานาชาติ ได้แก่ UNDP Thailand, The World Bank Thailand, FAO Thailand และผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศ ได้บอกเล่าการทำงานและความท้าทายในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทั่วโลกเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

และยังยืนยันว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในไทย ต่างประเทศอย่างนอร์เวย์และญี่ปุ่นก็เจอความแปรปรวนไม่ต่างกัน เพียงแต่ประเทศเหล่านี้มีศักยภาพรับมือได้ดีกว่า ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และโครงการขนาดใหญ่ต่าง ๆ ขณะที่ไทยก็กำลังพยายามเดินตามแนวทางนี้ ยืนยันจากผู้แทนองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม กฤษฎา บุญชัย จาก Thai Climate Justice for All (TCJA) ได้สะท้อนว่า เนื้อหาของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังไม่สมบูรณ์นัก เป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนและปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ยังเน้นเชิง “ตัวเลข” มากกว่าคุณภาพที่แท้จริง อีกทั้งยังขาดการบรรจุสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน สิทธิของธรรมชาติ โครงสร้างคณะกรรมการที่เป็นธรรม และกติกาการใช้เงินกองทุนที่โปร่งใส

เมื่อมองระดับโลก แม้จะมีทั้งอนุสัญญาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (1992) พิธีสารเกียวโต (1997) ความตกลงปารีส นโยบาย Net Zero หรือกลไกตลาดคาร์บอน แต่โลกเรายังล้มเหลวในการควบคุมอุณหภูมิโลกและปริมาณคาร์บอนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี จนกลายเป็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน

สาเหตุของความล้มเหลวมาจาก วิธีคิดแบบแยกส่วนที่แยกคนออกจากธรรมชาติ การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยึดโยงกับผลประโยชน์พลังงานฟอสซิล กลไกระหว่างประเทศที่ไม่มีบทลงโทษเข้มพอ ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง และการเมืองระหว่างประเทศที่กลัวเสียเปรียบด้านการแข่งขัน อีกทั้งแม้จะมีพันธกรณีมากมาย แต่กลับถูกทุนและอำนาจครอบงำ

ขณะเดียวกัน หลายประเทศสามารถก้าวข้ามกำแพงนี้ได้ เช่น

  • เอกวาดอร์ (2008) รับรอง Rights of Nature ในรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจชุมชนฟ้องร้องแทนธรรมชาติ
  • โบลิเวีย (2010) ออกกฎหมาย Rights of Mother Earth ให้นิเวศมีสิทธิในระบบกฎหมาย
  • เนเธอร์แลนด์และฟิลิปปินส์ (2015, 2019) Urgenda Case ศาลสั่งให้รัฐเร่งลดก๊าซเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชน
  • ชิลี (ร่าง) Just Energy Transition Strategy เน้นการชดเชยแรงงานจากภาคถ่านหินและสร้างงานใหม่สีเขียว

ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ชัดว่า โลกที่จัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นธรรมสามารถเกิดขึ้นได้จริง เพียงแต่หลายประเทศ รวมถึงไทย ยังไม่กล้าก้าวไปอย่างมั่นคงพอ

ดังนั้น กฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงยังมีความสำคัญยิ่งต่อสถานการณ์ทั้งโลกและประเทศไทย และจำเป็นต้องตั้งอยู่บนฐานคิดสิทธิ ได้แก่ สิทธิมนุษยชน สิทธิของธรรมชาติ สิทธิชุมชนและการกระจายอำนาจ รวมถึงสิทธิคนรุ่นใหม่และความเป็นธรรมข้ามรุ่น พร้อมกับกลไกเศรษฐกิจและการเมืองที่ทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดจริง

กฎหมายที่ประชาชนต้องการจึงไม่ใช่เพียง “Climate Management Law” แต่ต้องเป็น “Climate Justice Law”

Scroll to Top