
วิกฤตสภาพภูมิอากาศถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดในยุคของเรา การหาทางแก้เพื่อจำกัดผลกระทบของมันจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าเกษตรกรรมในหลายกรณีจะเป็นตัวการหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็มีศักยภาพที่จะช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เช่นกัน
พืชตระกูลถั่วถือเป็นกลุ่มพืชที่มีศักยภาพสูง ด้วยคุณสมบัติพิเศษ เช่น การตรึงไนโตรเจนและมีโปรตีนสูง ช่วยปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ลดการใช้ปุ๋ยเคมีที่เป็นอันตราย และยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ยั่งยืนสำหรับมนุษย์ พืชถั่วบางชนิด เช่น ถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี ถั่วคาวพี ถั่วหญ้า และถั่ว Lablab ยังเหมาะกับการปลูกในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น
คุณสมบัติในการตรึงไนโตรเจน
หนึ่งในข้อดีสำคัญของถั่วคือความสามารถอยู่ร่วมกับแบคทีเรียตรึงไนโตรเจนที่เรียกว่า “ไรโซเบีย” ซึ่งอาศัยอยู่ในปมรากของพืช ทำให้ถั่วสามารถเปลี่ยนไนโตรเจนจากบรรยากาศให้พืชใช้ประโยชน์ได้
กระบวนการตรึงไนโตรเจนนี้ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ซึ่งการผลิตต้องใช้พลังงานสูงและ ก่อมลพิษทางอากาศและน้ำ ปุ๋ยไนโตรเจนยังมีผลเสียต่อสุขภาพมนุษย์และก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N₂O) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกรุนแรง มีอายุในชั้นบรรยากาศยาวนานกว่า 100 ปี และกักเก็บความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ราว 300 เท่า

ในสหรัฐอเมริกา ภาคเกษตรกรรมคิดเป็นประมาณ 8% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด แต่กลับเป็น 75% ของการปล่อยก๊าซ N₂O จากกิจกรรมมนุษย์ การปลูกพืชที่ต้องการไนโตรเจนน้อยจึงมีศักยภาพสูงที่จะช่วยลดการปล่อยไนตรัสออกไซด์ในภาคเกษตรกรรม
การกักเก็บคาร์บอนและสุขภาพของดิน
พืชตระกูลถั่วสามารถกักเก็บคาร์บอนได้โดยไม่ต้องพึ่งปุ๋ยไนโตรเจน หรือพึ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่น รากของถั่วบางชนิดลึกถึง 2 เมตร ทำให้คาร์บอนที่กักเก็บถูกเก็บไว้ลึกในดิน
การเพิ่มปริมาณคาร์บอนอินทรีย์ในดินผ่านการสร้างชีวมวล โดยไม่ต้องพึ่งปุ๋ยเคมีที่เป็นอันตราย ทำให้ถั่วทำหน้าที่เป็น “พลังฟื้นฟู” ของเกษตรกรรม นอกจากนี้ พืชถั่วยังเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อถั่วเอง แต่ยังช่วยระบบนิเวศดินโดยรวม พืชที่ปลูกในแปลงเดียวกันจะได้รับสารอาหารเพิ่มเติม ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโต
การเพาะปลูกถั่วยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินและการกักเก็บน้ำ ระบบรากขนาดใหญ่ช่วยยึดอนุภาคดิน ป้องกันการชะล้างหน้าดินในช่วงฝนตกหนัก และปล่อยสารประกอบที่อุดมด้วยคาร์บอนหลายชนิด ช่วยกักเก็บคาร์บอนในชั้นดินลึกซึ่งมีโอกาสน้อยที่จะถูกปล่อยกลับสู่บรรยากาศ
ปศุสัตว์และการเกษตรสัตว์
ถั่วเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และด้วยฐานะที่เป็นแหล่งโปรตีนยั่งยืน จึงช่วยลดแรงกดดันต่อสิ่งแวดล้อมแทนการใช้พืชอาหารสัตว์ชนิดอื่น เพราะการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นตัวการใหญ่ของการตัดไม้ทำลายป่าและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
เมื่อถั่วถูกผลิตในลักษณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น และไม่ใช้ปุ๋ยเกินความจำเป็น มันสามารถเป็นอาหารสัตว์ที่ยั่งยืน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงสัตว์ ทำให้สัตว์เติบโตและสุขภาพแข็งแรงขึ้น

อาหารที่ยั่งยืนสำหรับมนุษย์
ถั่วเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและยั่งยืน การบริโภคถั่วที่ผลิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลด Carbon Footprint จากระบบอาหารได้
ในขณะเดียวกัน การผลิตเนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรมเป็นตัวการใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการบริโภคเนื้อสัตว์จึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอาหารและระบบโภชนาการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง โดยเฉพาะก๊าซมีเทนที่มีความสามารถกักเก็บความร้อนสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า

นอกจากนั้น การบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไปเชื่อมโยงกับโรคหลอดเลือด เบาหวาน และมะเร็งบางชนิด ขณะที่พืชตระกูลถั่วไม่เพียงเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ แต่ยังเพิ่มไฟเบอร์และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่จำเป็นต่ออาหารที่สมดุล
บทสรุป
พืชตระกูลถั่วมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรกรรม การตรึงไนโตรเจน การกักเก็บคาร์บอน และการปรับปรุงสุขภาพดินเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
การเพิ่มพื้นที่ปลูกและการบริโภคถั่วไม่เพียงช่วยเกษตรกรรมและปศุสัตว์ แต่ยังส่งผลดีต่ออาหารมนุษย์และระบบนิเวศโดยรวม การบูรณาการพืชถั่วเข้าสู่ระบบเกษตรกรรมและอาหารจึงเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง
The Global Bean Project. (2025). Legumes and the Climate Crisis.
เครดิตภาพ : https://www.globalbean.eu/publications/legumes-and-the-climate-crisis