THAI CLIMATE JUSTICE for All

ศิลปะและวัฒนธรรมช่วยให้เกิดความเป็นธรรมทางภูมิอากาศได้อย่างไร

เขียนโดย Ben Twist
วันที่ 12 ตุลาคม 2022
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง How can arts and culture work on climate justice?

ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา พวกเรากลุ่ม Creative Carbon Scotland ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับความหมายของความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนผ่านในระดับท้องถิ่นหรือ Local Journeys for Change Programme บทความนี้จะกล่าวถึงบทบาทของศิลปะและวัฒนธรรมในการสนับสนุนความเป็นธรรมทางภูมิอากาศและวิธีการบรรลุเป้าหมายนี้ งานวิจัยอยู่ในบริบทของประเทศสก๊อตแลนด์แต่สามารถนำไปอธิบายปรากฏการณ์ได้ทั่วทั้งยุโรปเช่นกัน

บทบาทของศิลปะและวัฒนธรรมในการสนับสนุนความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ

ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศทำให้บทบาทศิลปะและวัฒนธรรมนั้นสำคัญมากขึ้นเพราะศิลปะและวัฒนธรรมสามารถวางกรอบการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศให้เป็นประเด็นด้านสังคม จริยธรรม และวัฒนธรรมได้ไปพร้อมๆกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังเตือนให้เราสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาวะโลกร้อนกับความไม่เท่าเทียมและไม่เป็นธรรมแทนที่จะพิจารณาทั้งสองประเด็นโดยแยกออกจากกัน ซึ่งทำให้เราต้องตีประเด็นปัญหานี้ในโลกของศิลปะและวัฒนธรรมด้วย ดังนั้นเราจึงกำหนดหัวข้อสำคัญ 5 ข้อที่ศิลปะและวัฒนธรรมมีบทบาทสนับสนุนความเป็นธรรมทางภูมิอากาศได้ดังนี้ :

เครดิตภาพ : Creative Carbon Scotland

สาธิตการเชื่อมโยง: การที่ภาวะโลกร้อนเป็นผลมาจากปัญหาอื่นๆที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างซับซ้อนทำให้ยากต่อการทำความเข้าใจ วิธีการของศิลปินอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะสื่อสารความหมายของภาวะโลกร้อนได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ศิลปะยังใช้อธิบายคำถามที่ยังกำกวมและไม่มีคำตอบที่ตรงไปตรงมาได้อีกด้วย

สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมนท้องถิ่น : ศิลปะให้แนวทางในการเสริมสร้างความสามารถ ความมั่นใจ และต้นทุนทางสังคมให้แก่ชุมชนเปราะบางเข้ามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน ชนกลุ่มน้อยในสังคมมักมีองค์ความรู้และประสบการณ์แต่ขาด (หรือรู้สึกว่าตนเองขาด) ทักษะหรือทุนทางสังคมที่จะใช้องค์ความรู้และประสบการณ์เหล่านั้นมาช่วยขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อมและสร้างการเปลี่ยนแปลง โครงการสรรสร้างศิลปะโดยสถาบันการศึกษา กรมศิลปากร หรือกระทรวงวัฒนธรรมสามารถช่วยให้ชุมชนแสดงองค์ความรู้และประสบการณ์ของตนออกมาเป็นรูปธรรมได้

เข้าหาเป้าหมายใหม่ๆ : ชาวสก๊อตทุกคนควรได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วมแก้ไขภาวะโลกร้อน แต่เราก็รู้ดีว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อคนบางกลุ่มมากกว่า ศิลปินสามารถเข้าถึงชุมชนกลุ่มใหม่ๆด้วยการใช้ศิลประท้องถิ่นที่ชุมชนคุ้นเคยและเข้าใจง่ายเพื่อชักจูงให้ผู้คนเข้าร่วมเจตนารมณ์ ศิลปินสามารถใช้สถาบันทางวัฒนธรรมอย่างห้องสมุดเป็นศูนย์กลางชุมชนเพื่อสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่จำเป็นสำหรับการดึงกลุ่มเป้าหมายเข้ามามีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญ

สร้างแพลตฟอร์มสื่อสาร : สังคมยังมองว่าประเด็นเรื่องภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องของชนผิวขาวชั้นกลาง ศิลปินสามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์นี้ได้ด้วยการสื่อสารจากหลายชนชั้นและนำเรื่องราวการต่อสู้ภาวะโลกร้อนของคนกลุ่มต่างๆมาสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อศิลปินเข้ามามีส่วนร่วมด้วยตนเอง นอกจากนี้ศิลปะยังสามารถสร้างแพลตฟอร์มสำหรับนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและศิลปินจากต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุดหรือที่เรียกว่า ‘Front-line Voices’ 

สร้างความเป็นธรรม : งานที่อุทิศให้การต่อสู้กับภาวะโลกร้อนควรมีทั้งกระบวนการที่เป็นธรรมเท่าๆกับที่ผลิตผลงานที่เป็นธรรม ดังนั้นเพื่อผลักดันนโยบายที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ นโยบายจะต้องได้รับการออกแบบจากผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มรวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด วิธีการแบบเก่าเช่นการขอคำปรึกษามักมีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถดึงคำตอบออกมาจากผู้ถูกสัมภาษณ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบาง ซึ่งศิลปินสามารถใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือทำความเข้าใจชุมชนและนำข้อมูลที่ได้ไปออกแบบนโยบายต่อไป

เราจะสร้างงานศิลปะที่มีความเป็นธรรมทางภูมิอากาศได้อย่างไร?’

คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว เราอาจนึกถึงการสร้างสรรค์งานศิลปะที่ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการรณรงค์เคลื่อนไหวต่างๆ จ้างศิลปินไว้ทำงานในองค์กรด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือหาแนวทางที่แปลกใหม่ในการกำหนดและขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อม เราอาจอุทิศงานศิลปะเพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศอย่างตรงไปตรงมาหรือทางอ้อม ขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยให้เราหาแนวทางที่เหมาะสมให้แก่ผู้ที่ต้องการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศและหลีกเลี่ยงอุปสรรคต่างๆที่นักรณรงค์มักประสบ 

เลือกสถานที่สร้างสรรค์งานที่ต้องการ

ประเด็นปัญหาใดที่คนในพื้นที่เป้าหมายของเราให้ความสนใจมากที่สุด กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร ให้เราลองนึกถึงแนวทางที่เราจะใช้ต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนโดยใช้ประเด็นที่ใกล้ตัวกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เช่นการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่เป็นธรรมสำหรับคนงานที่บ่อน้ำมันใน Aberdeen ประเด็นด้านสิทธิเหนือที่ดินในสก๊อตแลนด์ หรือประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมและลัทธิอาณานิคมของ Glasgow อย่างไรก็ตาม ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศนั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นจำนวนมาก ดังนั้นจงอย่างพยายามที่จะครอบคลุมให้หมดทุกประเด็นในครั้งเดียว แต่เลือกประเด็นที่ใกล้ตัวกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดมารณรงค์ ให้คิดถึงความถนัด ทักษะ และประสบการณ์ที่เรามีว่าสิ่งใดที่เหมาะสมกับพื้นที่ทำงานมากที่สุดและนำออกมาใช้ หากไม่มีความถนัด ทักษะ และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องเลย เราอาจต้องหาองค์กรภาคีในพื้นที่มาให้การสนับสนุนหรือหาพื้นที่ทำงานอื่นแทน

เราต้องการบรรลุจุดมุ่งหมายใด?’

ผลลัพธ์อะไรบ้างที่เราต้องการ? เราต้องการให้คนเข้าใจประเด็นความเป็นธรรมทางภูมิอากาศที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักหรือจะเชื่อมโยงประเด็นท้องถิ่นเข้ากับภาวะโลกร้อน? เราต้องการทำให้สังคมได้ยินเสียงของคนกลุ่มน้อยหรือไม่? เราต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนเพื่อให้เขาขับเคลื่อนนโยบายระดับท้องถิ่นหรือให้แนวทางในการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ? คำถามเหล่านี้จะนำไปสู่ลักษณะของงานที่เราจะสรรสร้างต่อไป

ผู้ร่วมงาน

ใครคือผู้ร่วมงานที่สำคัญของเรา? เราต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่ใช่ที่จะมาตีความและสื่อสารปัญหาที่เราต้องการสื่อสาร ซึ่งหมายถึงการหาศิลปินที่สนใจ มีประสบการณ์ และมีความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับท้องถิ่น การหานักวิจัยที่เข้าใจประเด็นปัญหาและการสื่อสารเป็นอย่างดี และการหาชุมชนท้องถิ่นหรือนักรณรงค์ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่

เราจะทำงานร่วมกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ได้ข้อมูลและความคิดเห็นของพวกเขามาได้อย่างไร ทั้งในช่วงวางแผนและในเนื้องาน? ลักษณะของกลุ่มเป้าหมายย่อมส่งผลต่อเป้าหมายของเรา เช่นสำหรับคนที่มีฐานะดีแล้ว เราควรเน้นไปที่วิธีการที่ช่วยให้เขาลดการปล่อยคาร์บอน ส่วนสำหรับคนยากจน เราต้องทำให้พวกเขาสามารถร่วมขับเคลื่อนการแก้ปัญหาได้

เราจะสร้างกระบวนการที่เท่าเทียม มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และมีความหลากหลายของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร?’

เราจะทลายกำแพงที่กั้นระหว่างผู้มีส่วนร่วมได้อย่างไร? เมื่อเราสรรสร้างงานที่มุ่งโจมตีประเด็นความไม่เป็นธรรม เราจะต้องสร้างความเป็นธรรมเพื่อให้เป็นแบบอย่างทั้งในกระบวนการและในเนื้องาน ซึ่งหมายถึงการทลายกำแพงที่เป็นอุปสรรคในการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วม โดยอาจเป็นเรื่องทางกายภาพ การเงิน สังคม หรือแม้แต่จิตวิทยา

คุณกำลังสร้างแพลตฟอร์มเพื่อใคร? ไม่ว่าจะเป็นการแสดงดนตรี การฉายภาพยนตร์ หรือการแสดงผลงานทางศิลปะ ให้เราใช้วิธีการนำบุคคลที่เป็นตัวแทนของความหลากหลายทางเชื้อชาติในสก๊อตแลนด์และกำลังประสบกับประเด็นปัญหาที่เราต้องการสื่อสารออกมาแสดง กระบวนการนี้ใช้เวลาค่อนข้างมากแต่ผลตอบแทนด้านประสิทธิภาพของการสื่อสารเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศนั้นนับได้ว่าคุ้มค่า

เราจะสื่อสารประเด็นอย่างไร?’

เราจะใช้ภาษาแบบไหนในการสื่อสารประเด็น? การสื่อสารเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศนั้นไม่ต้องการคำศัพท์ชั้นสูง (แม้ว่าจะจำเป็นในบางครั้งเพื่อการสื่อสารความหมายที่ถูกต้อง) หรือแม้แต่ไม่ใช้คำว่า ‘ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ’ เลย ให้เรานึกถึงการวางกรอบให้แก่ประเด็นในแบบที่ผู้คนจะเข้าใจได้โดยง่าย ยกตัวอย่างเช่นการสำรวจแรงงานที่ทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลพบว่า 90% ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม’ แต่ก็สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวเมื่อได้รับคำอธิบาย หรืองานวิจัยของ Climate Outreach ที่พบว่าผู้ที่นิยมฝ่ายขวาในทางการเมืองชอบที่จะใช้คำว่า ‘Fairness’ แทนคำว่า ‘Justice’  

เราจะสร้างสมดุลระหว่างความตรงไปตรงมาและการมองโลกในแง่ดีได้อย่างไร? วิกฤติสิ่งแวดล้อมนั้นรุนแรงและส่งผลกระทบต่อคนเพียงบางกลุ่มอย่างหนัก และเราจะต้องเน้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาในขณะที่พยายามหาแนวทางบรรเทาหรือตั้งรับปรับตัว หลักการเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศนั้นหากเราใช้อย่างถูกต้องจะทำให้เราได้วิธีการแก้ปัญหาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมโดยไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้แก่กลุ่มเป้าหมายมากเกินไป

เรากำลังสื่อสารเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศอยู่จริงหรือไม่? เมื่อมีการใช้คำว่า “ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ” บ่อยขึ้น ความเสี่ยงที่จะใช้คำนี้อย่างผิดๆก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเป็นเงาตามตัว พยายามเลี่ยงที่จะใช้คำนี้เว้นเสียแต่ว่าคุณกำลังพูดถึงความเป็นธรรมจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ก็ควรใช้คำว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” จะเหมาะสมกว่า

เราจะรู้ได้อย่างไรว่างานของเราประสบความสำเร็จแล้ว?’ เราจะบอกตัวเองได้อย่างไรว่าเราทำงานสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้แล้ว? คำตอบก็คือเราจะต้องสอบถามความเห็นของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นรายงานวิจัยที่เต็มไปด้วยตัวเลข เพียงแค่บันทึกการสนทนากับผู้คนเป็นสิ่งที่เราต้องการ เราต้องเก็บข้อมูลจากพวกเขาเพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนางานของเราในอนาคต และเราจะต้องคิดวางแผนระยะยาวเพื่อให้ผลงานที่ได้มาคงอยู่ไม่เลือนหายไป

Scroll to Top