
เขียนโดย Richard Lim
วันที่ 21 มิถุนายน 2024
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง The Battle for Climate Justice vs. Environmental Orientalism
ประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือถูกสังคมโลกมองว่าเป็นแหล่งพลังงานทางเลือกที่อุดมสมบูรณ์ แต่กลยุทธ์ของภูมิภาคในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนยังคงมีความคลุมเครืออยู่มากท่ามกลางข้อกล่าวหาว่าฟอกเขียวและการแสวงหากำไรโดยภาคธุรกิจ
เราจะออกแบบวิธีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และหันมาใช้พลังงานทดแทนในบริบทของตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือได้อย่างไร? คำตอบอยู่ในงานเขียนเชิงอุดมคติและมากไปด้วยความเห็นที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ของนักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมชาวอัลจีเรียที่ทำงานอยู่ในลอนดอนที่ชื่อ Hamza Hamouchene และ Katie Sandwell ผู้ทำงานด้านประสานงานโครงการของสถาบันคลังสมองข้ามประเทศอายุกว่า 50 ปี งานเขียนของทั้งสองท่านได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นก่อนการประชุม COP28 ที่ผ่านมา ณ เมืองดูไบ ผลงานชิ้นนี้กระตุ้นในเกิดการอภิปรายขึ้นอย่างกว้างขวาง และถ้าไม่มีสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสแล้วละก็ ประเด็นเหล่านี้คงยังได้รับความสนใจจากประชาชนในตะวันออกกลางและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
ความสำคัญของประเด็นปัญหามิอาจสูงไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว เมื่อตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือเป็นภูมิภาคที่สำคัญต่อการกำหนดทิศทางการปล่อยคาร์บอนของระบบเศรษฐกิจโลกในฐานะที่เป็นผู้ผลิตพลังงานฟอสซิลรายใหญ่และยังมีศักยภาพในการผลิตพลังงานทางเลือกอีกด้วย นอกจากนี้ภูมิภาคยังเปราะบางเป็นพิเศษต่อภาวะโลกร้อน ดังนั้นการลดก๊าซเรือนกระจกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชากรในภูมิภาค เนื่องจากภายในปี 2050 ภูมิภาคนี้จะประสบกับคลื่นความร้อนที่ “ยาวนาน รุนแรง และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง” จนทำให้ “เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาวะของมนุษย์และสังคมจากผลกระทบต่อการเกษตร ปศุสัตว์ และความหลากหลายทางชีวภาพ” ตามข้อมูลจากงานวิจัยในปี 2021 ในขณะเดียวกัน นัยสำคัญเชิงกลยุทธ์ของภูมิภาคบ่งชี้ว่าตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือจะต้องขจัดปัจจัยลบต่าง ๆ จากกลุ่มผลประโยชน์ ความไม่เท่าเทียมในระดับท้องถิ่นและสากล เผด็จการทหาร และลัทธิอาณานิคมสีเขียว
Hamouchene กับ Sandwell เริ่มต้นหนังสือด้วยบทนำเกี่ยวกับแอฟริกาเหนือ ตามมาด้วยการบรรยายเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านด้านเศรษฐกิจสีเขียวที่จะต้องไม่วัดกันที่ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่โลกสามารถลดได้แต่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีความเป็นธรรมทางภูมิอากาศด้วย แม้ว่าแนวคิดนี้จะยังคลุมเครืออยู่ แต่ก็ได้รับความสำคัญในความตกลงปารีสปี 2015 และยืนยันว่าจะต้องพิจารณาความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในทุกแง่มุมนับตั้งแต่เรื่องของชนชั้น เชื้อชาติ เพศ แรงงาน และประชาธิปไตย
โชคไม่ดีที่ประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่เหล่าประเทศตะวันตกมองภูมิภาคนี้ด้วยคตินิยมแบบตะวันออกในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยอ้างว่าที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือนั้น “เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้เพื่อการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม” ยกตัวอย่างเช่น ทะเลทรายสะฮาร่าถูกมองว่าเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่ที่น่าจะนำมาใช่เป็นแหล่งผลิตพลังงานทางเลือกแก่ยุโรปเพื่อชาวยุโรปจะได้ใช้ไฟฟ้าได้มากตามใจชอบ “แต่ถึงแม้ว่าสะฮาร่าจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่า” ผู้เขียนอธิบาย “พื้นที่แถบนี้ก็เป็นแหล่งดำรงชีพและวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ ซึ่งเราจะต้องเคารพในสิทธิของพวกเขาเหล่านั้นในการเปลี่ยนผ่านด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมใด ๆ ก็ตามที่จะเกิดมีขึ้น” และไม่ว่าเหล่าประเทศร่ำรวยจะพูดว่าอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเน้นย้ำว่าเราจะต้องพิจารณาถึงลักษณะของภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมันนี้ว่าทำตัวเป็นเสมือน “อำนาจสาขาของจักรวรรดิ” ที่ก็พยายามยึดเอาทรัพยากรของประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบที่ยากจนกว่าตนมาเป็นแหล่งผลิตพลังงานทางเลือกเสียเอง
เนื้อหาของหนังสือมีลักษณะซ้ายจัดและต่อต้านเสรีนิยมใหม่ แต่ก็เป็นแบบปาฐกถามากกว่าจะเป็นโครงการที่นำไปปฏิบัติได้จริง ข้อเด่นของหนังสือได้แก่คำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับแผนที่พลังงานของกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือและแนวทางที่ประเทศเหล่านี้จะใช้จัดการกับภาวะโลกร้อนโดยไม่สูญเสียความเป็นผู้นำด้านพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นพลังงานฟอสซิลหรือพลังงานทดแทนก็ตาม
โมร็อกโกเป็นตัวอย่างที่ถกยกขึ้นมาวิเคราะห์มากที่สุด และในหลาย ๆ กรณีก็ใช้ได้กับทุกประเทศในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือด้วยเช่นกัน โมร็อกโกเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานฟอสซิลมาโดยตลอด ในปี 2021 จึงหันมาตั้งเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดที่ก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาค นำโดยนายกรัฐมนตรีและมหาเศรษฐี นาย Aziz Akhannouch ที่มีธุรกิจพลังงานและก่อสร้างส่วนตัว ได้จัดนิทรรศการแสดงการติดตั้งแผงพลังงานโซลาร์เซลล์และโรงผลิตไฟฟ้าในเขต Ouarzazate ทางใต้ของประเทศ และวางแผนที่จะสร้างแห่งที่สองใกล้กับ Midelt ในเทือกเขาแอตลาส ภายใต้ใบอนุญาตของกระทรวงพลังงานทางเลือกและทุนกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการพัฒนา International Development Bank โรงไฟฟ้าจะสร้างและดำเนินการโดยความร่วมมือระหว่างบริษัทพลังงานในยุโรปและตะวันออกกลางเช่น EDF Renewables ของฝรั่งเศส ACWA Group จากซาอุดี อาระเบีย Masdar จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ Green of Africa ที่ joint venture กับธุรกิจของนาย Aziz Akhannouch เอง
แม้ว่าโครงการเหล่านี้จะให้คำมั่นเกี่ยวกับตัวเลขก๊าซเรื่อนกระจกที่จะลดลงได้ แต่หนังสือก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำไมเราจึงต้องตั้งความหวังไว้ที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่แรกในเมื่อแผงโซลาร์เซล์สามารถติดตั้งได้โดยผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ? โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นยังไม่มีหลักฐานแสดงความสำเร็จ โรงไฟฟ้าหลายโรงที่ Ouarzazate ก็ต้องหยุดทำงานเนื่องจากการทำงานของ Molten Salt Storage ล้มเหลว และระบบล่มที่โครงการ Midelt ในขณะที่วิศวกรยังปวดหัวกับส่วนประกอบของเครื่องรวบรวมประจุ

หนังสือชี้ให้เราเห็นว่า นักการเมืองย่อมไม่ถูกกับเรื่องแนวทางที่เป็นการกระจายอำนาจเพราะว่า “เป็นการละทิ้งโอกาสในการสะสมทุน” ที่โครงการจะพึงมีให้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าการรักษาไว้ซึ่งอำนาจและรายได้ของรัฐสำคัญกว่าการทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน (เช่นการสนับสนุนโครงการของชุมชน) นอกจากนี้ ระบบรวบรวมประจุยังต้องการน้ำในปริมาณมากเพื่อหล่อเย็นเครื่องจักร และแผนงานของโครงการเหล่านี้ก็มักละเลยที่จะขอคำปรึกษาด้าน “การพัฒนาชนบทในระยะยาวหรือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน”
แม้แต่ประสิทธิภาพในด้านเศรษฐกิจก็ยังถูกตั้งคำถาม แม้ว่าพลังงานทางเลือกจะช่วยประเทศประหยัดพลังงานลงได้ แต่โมร็อกโกก็ต้องกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อมาก่อสร้างโครงการใหญ่เหล่านี้ และท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นว่าไฟฟ้าที่ผลิตได้จากเครื่องรวบรวมประจุมีต้นทุนที่สูงกว่าต้นทุนของผู้ผลิตรายย่อยที่ขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าแห่งโมร็อกโก (ภายใต้เงื่อนไข PPP) เสียอีก อีกทั้งยังไม่นับว่าเงื่อนไข ppp ของโมร็อกโกยังด้อยประสิทธิภาพอยู่มาก… เรื่องเช่นนี้พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่การลงทุนภาคเอกชนแทบไม่มีความเสี่ยงอะไรเลยเพราะผลักความเสี่ยงไปให้แก่รัฐและประชาชน
โครงการพลังงานทางเลือกอีกโครงการหนึ่งของโมร็อกโกเป็นกรณีที่เกิดปัญหา Green Grabbing หรือการยืดทรัพยากรเพื่อนำมาใช้ผลิตพลังงานทางเลือก บริษัท Xlinks แห่งอังกฤษวางแผนที่จะสร้างทุ่งกันหันลมและโซล่าร์เซลล์ขนาดเท่ากับดาวน์ทาว์นลอนดอนในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของโมร็อกโก ซึ่งผู้ลงทุนก็ยังต้องเข้าแถวรอเพราะไม่มีกำหนดวันที่โครงการจะแล้วเสร็จ แม้ว่าอังกฤษจะประกาศว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ “มีความสำคัญในระดับชาติ” แต่ถ้าดีลสำเร็จลง Xlinks จะผลิตไฟฟ้า 3.6 gigawatts ได้จากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ (คิดเป็นถึงหนึ่งในสามของปริมาณทั้งหมดที่โลกผลิตได้จากพลังงานทนแทนและ 8% ของปริมาณไฟฟ้าที่อังกฤษใช้ต่อปี) โดยใช้ระบบสายส่งยาว 4,000 กิโลเมตรจากโมร็อกโกสู่เดวอน
ผู้เขียนได้ศึกษาโครงการนี้และโครงการอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันที่ลงทุนโดยประเทศในยุโรปและสรุปว่าประเทศในเขตแอฟริกาเหนือควรคิดหาทางลดก๊าซเรือนกระจกของตนเองโดยเร่งด่วนก่อนที่จะคิดไปถึงการส่งออกพลังงานทางเลือก หนึ่งในหลักคิดของหนังสือเล่มนี้คือผู้เขียนปฏิเสธความคิดที่ว่าที่ดินเปล่านั้นไร้ค่าจึงสมควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในทางตรงกันข้าม ประเด็นนี้จะกลายเป็นประเด็นของผู้ปกครองอาหรับที่ไร้ความรับผิดชอบ ไม่มีประสิทธิภาพ และเลวร้ายที่สุดคือเป็นผู้ปกครองที่ฉ้อฉล ซึ่งไม่รู้จักวิธีเจรจาเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศของตนเอง หรือไม่รู้ว่าจะจัดสรรผลประโยชน์ที่ได้จากดีลที่ทำไว้กลับไปยังสาธารณชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการได้อย่างไร
การวิเคราะห์แนวคิดเรื่อง Green Colonialism หรือลัทธิอาณานิคมสีเขียวเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของผลประโยชน์เข้ามากุมบังเหียนและปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลือตามมาเอง ตัวอย่างเช่น กรณีศึกษาของประเทศจอร์แดนที่ถูกกดดันให้ต้องหาพลังงานจากแหล่งอื่นแทนหลังจากที่อิรักถูกอเมริกาบุก และในช่วงทศวรรษ 2010 ก็ประสบความล้มเหลวในการเชื่อมท่อก๊าซเข้ากับอียิปต์ ทำให้ประเทศจอร์แดนในปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกได้ถึงหนึ่งในสี่ และ 40% ของปริมาณดังกล่าวก็มาจากผู้ผลิตรายย่อยและประชาชน ผู้ที่ผลิตและขายไฟฟ้าเหลือใช้ให้รัฐ อย่างไรก็ตาม ศักยภาพทางด้านนี้ของประเทศจอร์แดนยังถูกจำกัดโดยความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
ในปี 2016 จอร์แดนได้ลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซจากอิสราเอลที่ขุดเจาะจากบ่อ Leviathan ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกที่เป็นพื้นที่ขัดแย้ง และสำหรับจอร์แดนแล้ว เงื่อนไขของสัญญานั้นคุ้มค่ากว่าการพัฒนาพลังงานทางเลือก ในเดือนพฤศจิกายน 2022 ในการลงมติสนับสนุนความตกลง Abraham ฉบับปี2020 ที่ประเทศจอร์แดน อิสราเอล และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ร่วมจัดตั้งโครงการ Project Prosperity ที่อิสราเอลเป็นผู้จัดหาน้ำจืดให้จอร์แดนเพื่อแลกเปลี่ยนกับพลังงานไฟฟ้าที่จอร์แดนผลิตได้ทั้งหมดจากแผงโซลาร์เซลล์นอกชายฝั่งที่สร้างโดยบริษัท Masdar ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้ตั้งข้อสงสัยถึงความจำเป็นของโครงการหากอิสราเอลมิได้ยึดเอาแหล่งน้ำไว้เองตั้งแต่แรก นอกจากนี้โครงการก็ยังติดปัญหาสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งนามาสู่บทบาทที่อันตรายของซาอุดีอาระเบียและกลุ่มประเทศในอ่าวเปอร์เซียในการล้มล้างการเมืองเรื่องภูมิอากาศในระดับโลกในฐานะที่เป็นผู้ผลิตพลังงานฟอสซิลที่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของตนไว้
ประเทศผู้ค้าน้ำมันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม COP หลายครั้งที่ผ่านมา และรวมถึงครั้งหน้าด้วย ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องของ “การใช้ทรัพยากรเพื่อสร้างภาพดี ๆ ให้กับธุรกิจพลังงานฟอสซิล” และผู้สังเกตการณ์ประชุมก็เริ่มเห็นแล้วว่าการประชุมสุดยอดด้านสิ่งแวดล้อมโลกนี้เป็นการล็อบบี้จากบริษัทน้ำมันมาโดยตลอด แม้ว่าการลดก๊าซเรือนกระจกควรมีความหมายเท่ากับการไม่นำเอาพลังงานฟอสซิลขึ้นมาใช้อีก เหล่าบริษัทผู้ผลิตน้ำมันก็ยังคงดำเนินธุรกิจไปตามปกติคือแสวงหากำไร ถ่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานในประเทศของตนเองให้ช้าลง ตั้งเป้าหมายด้านภูมิอากาศไว้นิดหน่อย และลงทุนในพลังงานสีเขียวอีกเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของประเทศตะวันตกในการต่อต้านการฟอกเขียวก็อ่อนกำลังลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทพลังงานสัญชาติตะวันตกถูกเข้าแทนที่ด้วยบริษัทตะวันออกกลางและจีนที่เพิ่งชนะข้อตกลงธุรกิจน้ำมันกับอิรัก ทำให้ประเทศตะวันออกกลางและจีนกลายเป็น “ประเทศกลุ่มอักษะใหม่ด้านพลังงานฟอสซิล” ที่ “เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานโลก”
แม้ว่าเทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถถอนรากถอนโคนลัทธิอาณานิคมสีเขียว แต่ผู้แต่งก็ปฏิเสธ “Technofixes” หรืออาการเสพติดเทคโนโลยีที่ทำให้โลกมุ่งเน้นเติบโตทางเศรษฐกิจแต่เพียงด้านเดียว ทำให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคสูงสุดที่นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรต่างก็ให้ความสำคัญเมื่อพิจารณาเรื่องความยั่งยืน แต่เป้าหมายสูงสุดของเราได้แก่การเปลี่ยนผ่านพลังงานสีเขียวควบคู่ไปกับเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ แต่จะต้องอาศัยเจตนารมณ์ทางการเมืองที่จะลดการบริโภค และใช้นวัตกรรมอย่างรายได้ขั้นพื้นฐานถ้วนหน้า และแน่นอนว่าเราจะประสบความสำเร็จไม่ได้หากขาดเสียซึ่งเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายโอนเทคโนโลยีสู่ประเทศโลกที่สาม
นอกจากนี้ยังยากที่จะทำความเข้าใจความซับซ้อนในเรื่องพลังงานของประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือโดยไม่มองผ่านมุมมองของเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าความพยายามของยุโรปที่จะหันมาใช้ไฮโดรเจนเหลวเพื่อบรรลุเป้าหมายทางภูมิอากาศของตนเอง (และหยุดพึ่งพาเชื้อเพลิงจากรัสเซีย) และประเทศกลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้จัดจำหน่ายหลัก เช่นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และโมร็อกโกที่กำลังสำรวจความเป็นไปได้ที่จะผลิตไฮโดรเจนเหลวด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กล่าวคือด้วยการแยกไฮโดรเจนออกจากน้ำด้วยพลังงานทดแทน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ที่ปริมาณน้ำที่ต้องใช้จำนวนมาก และสองประเทศนี้ก็ตั้งอยู่ในทะเลทราย
อีกทางเลือกหนึ่งได้แก่ Blue Hydrogen ในแผนของประเทศอียิปต์ที่ผลิตโดยการเปลี่ยนมีเทนจากก๊าซธรรมชาติให้เป็นไฮโดรเจนเหลว (เพื่อเป็นข้ออ้างในการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติต่อไป) โชคไม่ดีที่กระบวนการนี้ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลพลอยได้ที่โลกไม่พึงปรารถนา ไม่ว่าเทคโนโลยีจะมุ่งไปในทิศทางใด เราก็จะมีงานที่ต้องทำอีกมากเพื่อลด Carbon Footprint ในกระบวนการอยู่เสมอ เช่นเราอาจต้องใช้น้ำเสียและน้ำเค็มมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตไฮโดรเจนเหลวแทนน้ำจืดในที่สุด สิ่งที่เราไม่ได้คาดหมายอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการถอนรากถอนโคนลัทธิอาณานิคมสีเขียวได้แก่การที่สื่อต่าง ๆ มักมองข้ามประเด็นที่เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ และมักยึดความสำคัญของการเมืองและการทูตเป็นหลัก ผู้เขียนยังจำได้ว่าเมื่อหลายปีมาแล้ว มีคนถามผู้สื่อข่าวภาคตะวันออกกลางของ BBC ว่าทำไมจึงไม่ทำข่าวเกี่ยวกับซาอุดีอาระเบียหรือประเทศอ่าวฯให้มากกว่านี้ ผู้สื่อข้าวคนนั้นตอบปัด ๆ ไปว่าเขาไม่เห็นจะมีอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับซาอุดีอาระเบียหรือประเทศอ่าวฯขนาดนั้น แต่ถ้าคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว คุณจะเข้าใจว่าถ้าคุณตามเส้นทางการเงินไป คุณจะได้คำตอบทั้งหมด