
โดย สุรินทร์ อ้นพรม (นักวิจัยอิสระ)
ในระยะเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา การขับเคลื่อนนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ของรัฐไทยเน้นกลไกการสร้างแรงจูงใจทางการเงินและใช้กลไกตลาดคาร์บอนอย่างเข้มข้น มีการก่อตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารจัดการและพัฒนาระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และในเวลาต่อมา อบก. ได้พัฒนากลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจภายใต้แพลตฟอร์มที่รู้จักกันในนาม T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction) การพึ่งพิงกลไกตลาดคาร์บอนอย่างหนักหน่วงได้รับการวิจารณ์จากภาคประชาสังคมถึงเจตจำนงของรัฐไทยในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในเวทีเจรจา COP รัฐและกลุ่มที่สนับสนุนแนวทางตลาดคาร์บอนมักอ้างเหตุผลความจำเป็นเรื่องการขาดแคลนเงินทุนจึงต้องอาศัยกลไกตลาดเพื่อระดมทุนจากภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเทศกำลังพัฒนาต้องอาศัยเงินทุนและการสนับสนุนเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้วในการมีส่วนร่วมในการลดการปลดก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน
แท้ที่จริงแล้วเหตุผลและคำอธิบายดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงคำลวงของผู้ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง พวกเขาเพียงต้องการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลกันต่อไป และไม่ต้องการรับผิดชอบผลการกระทำที่เกิดขึ้นต่อสภาพภูมิอากาศของโลก มีหลักฐานชัดเจนว่านับตั้งแต่การประชุม COP21 ที่กรุงปารีส ตั้งแต่ปี 2015 กลุ่มที่สนับสนุนแนวทางตลาดคาร์บอนยังไม่สามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน ที่สำคัญก็คือพวกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงที่จะควบคุมอุตสาหกรรมฟอสซิลและผู้ก่อมลพิษรายใหญ่อื่นๆ ที่ต้องรับผิดขอบต่ออันตรายและการทำลายระบบนิเวศของโลกที่พวกเขาก่อขึ้น
ถึงเวลาหรือยังที่ต้องมีการทบทวนและรื้อถอนแนวทางตลาดคาร์บอนที่ล้มเหลว? อันที่แจริง ใน Article 6 ของความตกลงปารีสนอกจากจะพูดถึงกลไกตลาดคาร์บอนแล้ว ยังมีการพูดถึงกลไกที่ไม่อิงตลาด หรือ Non Market Mechanism/Approach หรือเรียกย่อๆ ว่า NMA น่าเสียดายที่รัฐไทยและกลุ่มที่สนับสนุนมักเน้นย้ำเนื้อหาบางส่วนของมาตรา 6.2 และ 6.4 ของความตกลงปารีส มีการลงทุนอย่างเข้มข้นในการผลักดันและพัฒนาเทคนิคที่ซับซ้อนสำหรับการประเมินคาร์บอนเครดิต แต่มักหลงมาตรา 6.8 ซึ่งบ่อยครั้งจะพบว่าถูกนำไปใส่ไว้ในเชิงอรรถซึ่งไม่มีเนื้อหาและรายละเอียดแต่อย่างใด
มาตรา 6.8 ของความตกลงปารีส คืออะไร?
ในเอกสารที่เผยแพร่โดย Greenpeace และองค์กรพันธมิตร[i] กล่าวถึงมาตรา 6.8 ของข้อตกลงปารีสไว้ว่า มาตรา 6.8 มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมแนวทางที่ไม่ใช่ตลาดแบบบูรณาการ แบบองค์รวม และสมดุล สำหรับการดำเนินการ “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ NDC มีการมุ่งเน้นทั้งความทะเยอทะยานในการบรรเทาผลกระทบและการปรับตัว อย่างไรก็ดี มาตรานี้มีวัตถุประสงค์เพิ่มเติมในการดำเนินการผ่านการประสานงานระหว่างเครื่องมือและกลไกเชิงสถาบันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ การเชื่อมโยงกับ CBD และสนธิสัญญาระหว่างประเทศและความคิดริเริ่มอื่น ๆ ที่พยายามปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ในเอกสารที่เผยแพร่ดังกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นว่า แนวทางที่ไม่ใช่การตลาด (NMA) มีศักยภาพที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มีความจำเป็นและสร้างความเป็นธรรมต่อสังคมและสภาพภูมิอากาศ ซึ่งแน่นอนว่าการขับเคลื่อนแนวทางที่ไม่อิงตลาดนี้อาจไปขัดขวาง “การดำเนินธุรกิจตามปกติ” ซึ่งเป็นวิธีการที่รัฐและกลุ่มทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่คุ้นชินและนำมาใช้เพื่อตอบสนองคววามต้องการของตนเอง Greenpeace และองค์กรพันมิตรเน้นย้ำว่า มีหลายด้านที่ NMA สามารถสร้างความแตกต่างได้ ทั้งในเรื่องการถือครองที่ดินและแนวทางที่อิงสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชน การยกเลิกหนี้สินต่างประเทศ การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม การคุ้มครองระบบนิเวศ การฟื้นฟูภูมิทัศน์ การบริโภคและห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน การตรวจสอบย้อนกลับ ความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วม รวมถึงการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่ทัดเทียม
ตัวอย่างเช่น การอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศที่มีคาร์บอนและบริการทางระบบนิเวศที่หลากหลายมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่นเดียวกับการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ NMA เพื่อสนับสนุนการปกป้องระบบนิเวศสามารถสนับสนุนการปรับกระบวนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรของชุมชนที่มีธรรมาภิบาลโดยยึดแนวทางการมีส่วนร่วมและอยู่บนฐานคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงการสร้างแรงจูงใจอื่นๆ ทางการเงินที่อำนวยความสะดวกให้กับชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น เจ้าของที่ดิน รวมถึงหน่วยงานของนรัฐในการดูแลรักษาป่าและระบบนิเวศ
อีกหนึ่งตัวอย่างของการขับเคลื่อน NMA ก็คือ การส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ NMA สามารถสนับสนุนมาตรการเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงไปสู่การบริโภคที่ยั่งยืน รวมถึงแรงจูงใจด้านภาษีเพื่อส่งเสริมอาหารที่ผลิตจากพืช สนับสนุนการดำเนินนโยบายเพื่อลดขยะจากเศษอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน เป้าหมายในการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์นมและปศุสัตว์ การยกเลิกเงินอุดหนุนเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม รวมถึงนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ปรับปรุงใหม่ตามเงื่อนไขการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น
นอกจากนี้ NMA สามารถมีส่วนร่วมในการลดการทุจริตโดยเน้นการสร้างความโปร่งใส ปรับปรุงมาตรฐานการรายงานต่างๆ ของภาครัฐให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวกและทันเวลา ส่งเสริมโมเดลการเป็นผู้ประกอบการในชุมชนและท้องถิ่น ปรับปรุงกลไกการตรวจสอบที่เป็นอิสระ และการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส และรับประกันการมีส่วนร่วมของชนเผ่าพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น และตัวแทนภาคประชาสังคมอื่นๆ ในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกระดับ
จะเห็นได้ว่า แนวทาง NMA นั้นเป็นการดำเนินงานแบบองค์รวม ผสมผสานมิติการลดผลกระทบ การปรับตัว และการเยียวยาเมื่อเกิดความเสียหาย เป็นแนวทางที่เปิดกว้างกว่ากลไกตลาดที่พูดถึงประเด็นทางเทคนิคและการซื้อขายคาร์บอนซึ่งไม่ตอบสนองต่อการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่นและระบบนิเวศ
แน่นอนว่า การขับเคลื่อน NMA ตามมาตรา 6.8 ของความตกลงปารีส อาจมีแรงต้านและถูกขัดขวางจากกลุ่มทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล พวกเขาต้องการคาร์บอนเครดิตป่าไม้เพื่อมาชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ตนเองปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ชุมชนท้องถิ่นและภาคประชาสังคมต้องร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อน NMA ให้เกิดขึ้นและเป็นรูปธรรมต่อไป
[i] https://www.greenpeace.org/static/planet4-international-stateless/2023/12/c610d444-20231130_match-makingcommunity-ledclimateaction_ds_small.pdf