THAI CLIMATE JUSTICE for All

COP 16 ชีวภาพ กับปมปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรพันธุกรรมที่ไทยต้องเตรียมพร้อม

การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ 16 (COP16) ที่กรุงคาลี ประเทศโคลอมเบียได้เริ่มต้นแล้วเมื่อ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะประชุมไปจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน ประเด็นสำคัญที่กำลังเป็นที่จับตาเรื่องหนึ่งในการประชุมครั้งนี้คือเรื่อง การสร้างระบบฐานข้อมูลดิจิทัลของลำดับพันธุกรรม (Digital Sequence Information: DSI) ที่มีเป้าหมายให้ทุกภาคีในโลกได้เข้าถึงข้อมูลพันธุกรรมเพื่อประโยชน์ด้านอาหาร ยา และอื่น ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ แต่ก็เป็นประเด็นที่มีข้อถกเถียงมาตลอด 30 ปี ในเรื่องการแย่งชิงทรัพยากรพันธุกรรมโดยประเทศมหาอำนาจและกลุ่มทุนข้ามชาติที่ใช้เป็นประตูเปิดทางเข้าถึงทรัพยากรพันธุกรรมและความรู้ท้องถิ่นของชุมชนในประเทศซีกโลกใต้

ปมปัญหาเรื่องนี้ยังไม่มีรัฐบาล หน่วยราชการ สถาบันวิจัย ภาคสังคมในประเทศไทยออกมาตั้งคำถามหรือเตรียมความพร้อม และไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว ทำให้เป็นที่น่าสงสัยว่าตัวแทนของรัฐบาลไทยที่จะไปเจรจาในการประชุมดังกล่าวได้เข้าใจปมปัญหาความซับซ้อนในเรื่องนี้หรือไม่อย่างไร และจะสามารถปกป้องฐานทรัพยากรและความรู้ของประเทศไม่ให้ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของทุนข้ามชาติได้อย่างไร

TCJA จึงได้สัมภาษณ์ รศ.ดร. ปิยะศักดิ์ ชอุ่มพฤกษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักพฤกพันธุศาสตร์ ที่ทำงานวิจัยด้านพันธุกรรมของสังคมไทย และทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นมานานว่า การตกลงเรื่องระบบฐานข้อมูลดิจิทัลลำดับพันธุกรรม รวมไปถึงข้อตกลงด้านอื่น ๆ  ประเทศไทยควรมีกรอบคิด การเตรียมพร้อม และท่าทีอย่างไร

บทสัมภาษณ์ รศ.ดร. ปิยะศักดิ์ ชอุ่มพฤกษ์
อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เกี่ยวกับประเด็นทางนโยบายสากล อนุสัญญาความหลากหลายชีวภาพ และกรอบงาน คุนหมิง-มอนทรีออล ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก สัมภาษณ์โดย ดร.กฤษฎา บุญชัย Thai Climate Justice for All, สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา

ประเด็นทางนโยบายระดับสากล อนุสัญญาความหลากหลายชีวภาพ 1992 กรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก 2022 (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework) ให้เกิดข้อมูลดิจิทัลของลำดับพันธุกรรม (Digital Sequence Information) เพื่อให้โลกนี้สามารถแบ่งปันข้อมูลพันธุกรรมต่าง ๆ ที่แต่ละประเทศมี ซึ่งมีข้อถกเถียงว่า สิ่งนี้ควรเป็นทรัพยากรสากลหรือเราควรจะปกป้องสิทธิแต่ละประเทศอย่างไร หากมองบริบทประเทศไทยที่เราเป็นภาคีอนุสัญญา และเตรียมไปเจรจาในเดือนตุลาคมนี้ อาจารย์มีความคิดเห็นที่จะเป็นประโยชน์ต่อเรื่องนี้หรือเรื่องที่ต้องระแวดระวังอย่างไร

            โดยหลักแนวคิด การจะสร้าง Digital Sequence Information ทางสากล หากเราคิดในเชิงอุดมคติ การทำให้ข้อมูลกลายเป็นสากล จะสามารถบังคับ กำกับดูแลให้เป็นสากลได้จริงไหม คำตอบนี้เป็นเรื่องที่ควรถอยหลังสองก้าวเพื่อฉุกคิดก่อน เพราะการสร้างฐานข้อมูลในลักษณะคล้ายกันเช่นนี้ เคยเกิดมาแล้ว

            ในการทำข้อมูลแบ่งปันทางสังคมวงกว้าง เรามีโอกาสไปแลกเปลี่ยนและใช้งานข้อมูลของเขาก็จริง แต่หากเราไม่มีศักยภาพไปใช้ของคนอื่น แต่ไม่สามารถปกป้องส่วนของเรา ก็จะมีความเสี่ยง เพราะในทางกลับกัน ตัวข้อมูลของเราก็ถูกเชื่อมโยงกับตัวตนของทรัพยากรจริงในมือของเรา การปกป้องทรัพยากรของประเทศไทยเรามีความพร้อมจริงหรือยัง ส่วนตัวคิดว่าเรายังไม่สามารถทำได้ขนาดนั้น ดังนั้นจึงอาจเป็นทางที่เสียเปรียบ ต่างประเทศอาจฉกฉวยทรัพยากรของเราได้ง่ายยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ในอดีต ข้าวของเราหลุดไปหลายประเทศ ทุเรียนหมอนทอง ไปแพร่หลายที่ลาวหรือเวียดนาม และในหลายกรณีก็กลับกลายมาเป็นคู่แข่งของไทย

ในบริบทความเป็นจริง เราจะปกป้องข้อมูลและฐานทรัพยากรได้ขนาดไหน

            โดยแนวคิดและหลักการเรื่องแลกเปลี่ยนข้อมูล ในอดีตจนปัจจุบัน บริบทไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงแต่ Keyword เปลี่ยนไป จากข้อมูลฐานความหลากหลายพันธุกรรมสิ่งมีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นข้อมูล ยีน ข้อมูลมาร์คเกอร์ ในมุมหนึ่ง เป็นความก้าวหน้า เพราะปัจจุบัน Next Generation Sequencing สามารถทำให้เสร็จอย่างรวดเร็วในครึ่งวัน ทำให้เห็นว่าการเชื่อมโยงข้อมูลพันธุกรรมกับตัวทรัพยากรทำได้ง่ายขึ้น โดนฉวยประโยชน์ได้ง่ายขึ้น แล้วในประเทศใครเล่าที่มีอำนาจเด็ดขาด วางแผน ดูแล ปกป้องไม่ให้เกิดความเสียเปรียบและเสียหาย เรายังไม่มีหน่วยงานในเชิงสมบูรณ์ ส่วนใหญ่มักจะเกิดการแก้ปัญหา หรือตั้งหน่วยงานขึ้นเพราะแรงกดดันจากต่างประเทศ แต่หากถามว่าเรามี Focal Point ผลักดันนโยบายออกมา หรือทำหน้าที่เป็นผู้ที่ดูแลไม่ให้ต่างชาติมาฉกฉวยทรัพยากรพันธุกรรมของเราไปใช้ บอกได้เลยว่าไม่มี เราโดนหยิบฉวยไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว กลับกัน ในต่างประเทศมีการใช้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์กว่าของไทยเรา มีคนดูแลสิ่งนี้แบบเบ็ดเสร็จ รวมไปถึงการวางแผนล่วงหน้า อะไรคือผลประโยชน์ หรือสิ่งที่ต้องปกป้อง แบบเบ็ดเสร็จ

          ในมุมมองของตัวอาจารย์เองมองว่า ข้อมูลที่จะเปิดเผยได้ก็ควรมี แต่ต้องระดับ มีข้อมูลชั้นความลับ บางส่วนที่เราต้องปกป้องด้วย คือมีทั้งข้อมูลเปิด ข้อมูลลับและ ข้อมูลที่เราควรสนับสนุนให้เกิดการวิจัยเชิงลึกโดยคนไทยกันเอง ดูแลฐานข้อมูลของเราเอง เช่น การดูแลฐานข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์ แต่ละชาติก้าวหน้าไม่เท่ากัน บางข้อมูลพื้นฐานสามารถแบ่งปันร่วมกันได้ หรือบางข้อมูลที่มีผลประโยชน์อื่นใดแอบแฝงหรือข้อกฎหมายมาเกี่ยวข้องก็ไม่จำเป็นต้องนำไปแชร์กับต่างประเทศ ที่สำคัญไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่หัวใจคือตัวฐานข้อมูลทรัพยากรพันธุกรรมเป็นอีกสิ่งที่ต้องปกป้อง ประเทศไทยยังขาดหน่วยงานที่เชี่ยวชาญ เฉียบคมเมื่อต้องต่อกรกับต่างชาติ และมีความรับผิดชอบสูง หากมีหน่วยงานไหนที่ทำอยู่ ก็อยากให้ออกตัว ทำอย่างจริงจัง เพราะจากเท่าที่ผ่านมาตอนนี้ยังมองไม่เห็นในสังคมไทย

หากคิดแบบเสรีนิยมสุด ๆ เช่น สถานการณ์โควิด ต้องการข้อมูลพันธุกรรมเพื่อมาผลิตวัคซีนต่าง ๆ ถ้าแต่ละประเทศต้องการปกป้องชั้นความลับไว้ แต่ยังไม่มีศักยภาพในการทำวิจัยในการผลิตยาหรือผลิตภัณฑ์ที่ดี การเปิดเสรีเพื่อฝ่ายที่มีเทคโนโลยีสูงเข้ามาวิจัยและทำประโยชน์เพื่อมนุษย์ชาติ เป็นคำกล่าวอ้างที่จริงไหม

ในความเป็นจริง มีหลายอย่างที่เราต้องมาย้อนคิด จะอ้างว่าเราไม่มีศักยภาพในการใช้ฐานทรัพยากรทั้งหมด 100% ก็อาจจะอ้างเช่นนั้นไม่ได้ การทำวิจัยพื้นฐานเพื่อสร้างองค์ความรู้ อาจยังไม่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่การผลักดันให้เกิดงานวิจัยขึ้นมาเพื่อการจัดการ และบริหารข้อมูลอย่างเป็นระบบ จนนำไปสู่การพัฒนาการใช้งานฐานทรัพยากรได้เองสำคัญกว่า

นอกจากนี้ ต้องเข้าใจก่อนว่า ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการตีพิมพ์เปิดเผยข้อมูลมาแล้ว งานส่วนใหญ่ที่น่าเชื่อถือ ต้องทำซ้ำได้ ตัวอย่างเช่น ประเทศจีน ใช้นโยบายผลิต เลียนแบบประเทศอเมริกา และใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถนำหน่วยธุรกิจขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆได้ ดึงความก้าวหน้าทางยุทธศาสตร์อันดับต้นๆ กลับคืนมาได้  ดังนั้นการอ้างว่าถ้าเราไม่แชร์ จะทำให้โลกไม่เกิดผลที่ดี เป็นเพียงความคิดมุมแคบ เพราะเราสามารถเปิดเผยส่วนข้อมูลพื้นฐานที่เราสามารถแชร์ได้อย่างปลอดภัย และสอดคล้องเข้ากับความจำเป็นเร่งด่วน แต่จะไม่ใช่ฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องปากท้องของคนไทยอีกหลายสิบล้านคน หรือไม่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายที่เราจะไปช่วงชิงความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

ในบริบทเหล่านี้ ถ้าเรามีหน่วยงานที่เป็น Focal Point ที่เป็นหน่วยงานที่จริงจัง มีการเชื่อมโยงระนาบตัวทรัพยากรจริงและตัวข้อมูลให้เป็นส่วนเดียวกัน บริหารจัดการได้อย่างรัดกุม เราจะสามารถกำหนดขอบเขตการแชร์ข้อมูลได้ โดยใช้สองบรรทัดฐาน เหมือนกับที่ประเทศจีนทำ  กรณีฐานข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์ ถามว่าแชร์ทุกข้อมูลไหม คำตอบคือไม่ คนจีนที่ทำจีโนมโปรเจคสำเร็จ ก็ไม่ได้แชร์ทั้งหมด ซึ่งเค้ารู้วิธีจัดการข้อมูลอย่างไรให้คนจีนได้ประโยชน์สูงสุด และมีหน่วยงานโดยตรงดูแลเรื่องนี้ ในประเทศไทยแม้เหมือนจะมี แต่มองไม่เห็น ยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นในอนาคตเราควรมีหน่วยงานดี ๆ มาดูแลแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งภาคฐานทรัพยากร ตัวข้อมูล และการเชื่อมโยงไปสู่การเพิ่มศักยภาพ

หน่วยงานที่พยายามดูแลระบบทั้งหมด สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งทำหน้าที่เจรจากับต่างประเทศ เรามี พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช 2542 ที่พยายามคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาพันธุกรรมทั้งสิ่งประดิษฐ์ใหม่และดั้งเดิม ระบบและกลไกเหล่านี้ อาจารย์มองว่ามันยังไม่เพียงพอหรือยังไม่สามารถรับมือได้หรือ

เนื่องจากเรามีโอกาสได้เห็นแรงกดดันจากนานาประเทศ สถาณการณ์แรงบีบคั้นต่าง ๆ จากภายนอก ความจำเป็นที่ต้องดำเนินการอะไรบางอย่างเพื่อรองรับ มีความแตกต่างในบริบทที่เกิดขึ้น ตัวอย่างที่ ญี่ปุ่น คือเรื่องจีโนมของพันธุ์ข้าว จีโนมโปรเจคข้าวของเขา เช่น การทำแผนที่ยีนและมาร์คเกอร์ ในรายละเอียดปลีกย่อย ญี่ปุ่นทำแผนที่ละเอียดมาก แต่สหรัฐทำหยาบ ๆ ไม่ได้ลงรายละเอียด สหรัฐกลับเป็นฝ่ายเอาของหยาบไปขึ้นสิทธิบัตร

เราจะเห็นว่าบริบทฉกฉวยโอกาส เช่นนี้ ถูกกำหนดโดยชาติตะวันตก ไม่ใช่ชาติตะวันออก ดังนั้นการใช้กฎเกณฑ์แบบชาติตะวันตกกำหนดนั้นมากำกับ จะเห็นได้ว่าชาติตะวันตกเปลี่ยนบริบทเพื่อสร้างความได้เปรียบตลอดเวลา ไม่ต่างจากอดีต รุกรานเพื่อขอสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แต่ทุกวันนี้ ประเด็นเรียกร้องมันเปลี่ยนไป เป็นเรื่องของการขออำนาจได้เปรียบซึ่งข้อมูลต่าง ๆ หรือโอกาสที่เหนือกว่าในการฉกฉวยข้อมูลไป เช่นนั้น ญี่ปุ่นที่เรียนรู้บทเรียนนี้ เริ่มมองหาบริบทใหม่ โดยให้ความสำคัญเรื่องการจดสิทธิบัตรเป็นนโยบายสำคัญ ลงรายละเอียดได้มากกว่า ในสเกลแข่งขันเดียวกัน หากสหรัฐทำข้อมูลหยาบ ๆ ก็จะเสียเปรียบ เรื่องคล้ายๆกัน เมื่อญี่ปุ่นรู้ว่ามีแรงกดดันเรื่องสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMOs) จากภายนอกเข้ามา รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งคณะทำงาน (Task Force) ที่รวมคนทั้งภาคราชการ วิชาการและเอกชนที่เกี่ยวกับอาหาร เพื่อวางระเบียบมาตรฐาน จัดวางวิธีการทดสอบของตนเอง (standard method) และข้อบังคับต่างๆ เพื่อเจรจาและรองรับเรื่องเหล่านี้ ให้เกิดความสมบูรณ์เกิดขึ้น อันนี้เราต้องเรียนรู้

ในขณะเดียวกัน เมื่อมองดูประเทศไทย เมื่อมีแรงกดดันเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจดทะเบียนความหลากหลายทางพันธุกรรม หรือ Digital Sequence Information ขณะนี้ก็ตาม หรือแม้กระทั่งพรบ.คุ้มครองพันธุ์พืช เรามักรีบทำให้ผ่านและเคลียร์เมื่อประเด็นเข้ามา ไม่งั้นไม่สามารถเข้าเวทีเจรจากรอบการค้าต่าง ๆ ได้ แต่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า ไม่ได้ไตร่ตรองหรือมีแผนรองรับอย่างเป็นระบบ ไม่ได้มองการดึงผู้รู้ในภาคส่วนต่างๆมาระดมความรู้ความสามารถมาสู้ มาวิเคราะห์ว่าชุมชนรวมถึงประชาชนในชุมชนที่ครอบครองความหลากหลายทรัพยากรในแต่ละท้องที่จะมาเกี่ยวข้องด้วยอย่างไร เหมือนเราทำงานตามความจำเป็นเร่งด่วน มากกว่าตามแผนงานที่ควรจะเป็น และไม่ได้เป็นไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์จากมุมมองชุมชนที่เป็นที่ตั้งของความหลากหลายทางทรัพยากรเหล่านั้น

ตามที่กล่าวมา ประเทศไทยจึงควรมีกะละมัง 2 ชั้น

ชั้นแรก เป็นข้อมูลที่ต้องเปิดเผยตาม International Regulations แล้วแต่ข้อเรียกร้องนานาชาติ

ชั้นที่สอง เป็นข้อมูลสงวน ให้เฉพาะคนไทยได้ประโยชน์ ต้องส่งเสริมการวิจัยเพื่อปกป้องข้อมูล และให้เป็นประโยชน์ต่อการฟ้องร้องทางนิติวิทยาศาสตร์ได้ว่าประเทศไทยครอบครองทรัพยากรพันธุกรรมแบบนี้ เป็นต้น เช่นนี้ ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องวิจัยให้เท่าทันต่างประเทศในทุกมิติ แต่ต้องให้รู้ว่าเราจะเล่นเกมส์ในเวทีต่างๆ นี้อย่างไร

หากเชื่อมโยงกับการเจรจา COP Biodiversity Finance ข้อเรียกร้องที่อยากให้ประเทศทั่วไปมีขีดความสามารถทำระบบฐานข้อมูลดี ก็ต้องการสนับสนุนงบสนับสนุน หรือลงทุนจากต่างประเทศ อาจารย์คิดว่าเราควรมีทัศนะอย่างไรกับการอุดหนุนงานวิจัยจากต่างประเทศ รวมไปถึงการลงทุนร่วมด้วย

Financial Support มีหลายมุม มีบางมุมอาจไม่ได้หวังผลตอบแทน แต่หลายมุมก็ต้องเข้าใจว่ามีผลประโยชน์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ครั้นจะไปปิดกั้นเลย อาจจะไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง แต่ทางที่ยอมรับทั้งระบบก็มีความเสี่ยง หลายกรณีการรับทุนก็เห็นอยู่ว่ามีความเสี่ยง ในอดีตเรารับทุนผ่านโปรแกรมการส่งคนไปศึกษาปริญญาเอก แต่ต้องแลกกับการนำพันธุกรรมและข้อมูลไปแลกกับเขา บทเรียนนี้ก็เห็นกันอยู่

หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว ประเทศไทยยากจนมาก เราก้าวมาได้ขนาดนี้ ผ่านมาหลายรุ่นหลายเจนเนอเรชั่น เรามีความก้าวหน้า ประเทศอื่นมาเห็นการพัฒนาเมืองของเราก็แปลกใจว่าก้าวหน้าไปเยอะมาก แน่นอนว่า บางอย่างเราสร้างด้วยตนเอง บางอย่างต้องกู้เงินมาพัฒนา ดังนั้นเวลามีเรื่อง Financial มา เรามองว่าโอกาส เราต้องตาลุกวาว แต่บางบริบทการค่อย ๆ ไปอาจจะเหมาะกับกำลังกาย กำลังสมอง และทรัพยากรของเรามากกว่าก็ได้ เพราะบางครั้งโอกาสที่มาก็เป็นเหยื่อล่อที่มาพร้อมกับตะขอเบ็ด ถ้างับอาจจะติดเบ็ด เราควรพิจารณากำลังความสามารถ และตั้งวิธีคิดใหม่ วางบริบทจากนี้ 10-20 ปี ปกป้องฐานข้อมูลทรัพยากรเราก่อนได้ไหม อีก 10 ปีเป็นทางที่ค่อย ๆ  แชร์ไป ปกป้องไป อย่างน้อยขณะนี้เราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากลุ่มประเทศในอาเซียนด้วยกัน การยืนบนขาตัวเองอย่างมั่นคงนั้นสำคัญ

คำถามที่เกี่ยวโยงไปถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อไปคุยกับหน่วยงานรัฐ เช่น กรมทรัพยากรชายฝั่งฯ คำถามสำคัญคือ ‘ทำไมราชการต้องเอาการลงทุนคาร์บอนเครดิตมาฟื้นฟูป่าชายเลน’ คำตอบของภาครัฐคือ เพราะไม่มีงบประมาณ ซึ่งหมายความว่านโยบายสาธารณะที่จำเป็นด้านทรัพยากรและอื่น ๆ เราจำเป็นต้องรับเงินสนับสนุนจากต่างชาติ จึงจะบรรลุขีดความสามารถได้เร็วขึ้นเช่นนั้นหรือ

อาจจะต้องพิจารณาว่า บริบทไหนที่ต้องตามให้เร็วขึ้น บริบทไหนไม่มีความจำเป็น คนรุ่นใหม่มักจะมีแนวคิดที่อยากตามให้ทัน เพราะเกิดมาในยุคที่มีพร้อมทุกสิ่ง จะอยากเห็นผลลัพธ์เร็ว ในบางบริบทควรจะค่อย ๆ สร้าง สะสม และเติบโตอย่างมั่นคง ส่วนนี้ควรหาสมดุลที่ลงตัว รัฐควรพิจารณาและวางแผนสำคัญในส่วนนี้ รัฐองค์รวม ต้องดูแล มีพืชพันธุ์ที่เป็นอัญมณีอีกเยอะ ไม่ใช่เพียงแค่ข้าว แต่อีกหลากหลายชนิด รัฐต้องขีดเส้นว่าอันไหนควรแชร์ อันไหนควรปกป้อง ดังตัวอย่าง คนจีนที่ขีดเส้น ข้อมูลจีโนมอันไหนแชร์ อันไหนเก็บเป็นความลับ เช่นเดียวกัน ในบริบทแบบนี้ จะอ้างว่าเราไม่มีงบอย่างเดียวไม่ได้

ในทางกลับกัน หากกลับมาวิเคราะห์ว่าทำไมคนของเราไม่ปกป้องฐานทรัพยากรชีวภาพ เพราะเราหลับตาข้างนึงในการบังคับใช้กฎหมายหรือเปล่า ทั้งระบบการบังคับใช้กฎของเราหย่อยยาน หรือเปล่า  50 ปีที่ผ่านมา คนไทยไม่เคารพกฎหมาย ตัวอย่างง่ายๆในชีวิตประจำวัน การขับรถย้อนศร คนไทยกลัวตำรวจ ไม่กลัวกฎหมาย หากดูดีๆรากเหง้าจึงเป็นเรื่องบังคับใช้กฎหมายทั้งระบบ ถ้าคนไทยเคารพกฎ ปัญหาเรื่องทรัพยากรเสื่อมโทรม ก็จะถูกแก้ไข และนอกจากให้ภาคเอกชนมาเติบเต็ม อีกแง่มุมนึง ในระดับผู้ใหญ่ การค้าการลงทุน จะใช้พื้นที่ป่าคาร์บอนเครดิต หรือ Biodiversity Credit มาเติมเต็ม ถ้าจะมาลงทุนจะได้ผลประโยชน์เครดิตเหล่านี้ เรากำลังมองระบบนิเวศเหมือนกับการส่งเสริมการลงทุน สิ่งเกิดขึ้นเปรียบเสมือนเหยื่อที่ติดอยู่ปลายเบ็ด (เหยื่อแต่ละยุคมาไม่เหมือนกัน ในยุคนี้อาจจะเป็นเรื่องคาร์บอนเครดิต) แต่ชาวบ้านที่พยายามจะปลูกป่า 20 ไร่ กว่าจะไป Access การได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิต มันคุ้มหรือเปล่า ข้อเท็จจริงคือชาวบ้านสามารถเข้าถึงหลักการเหล่านี้ได้จริงไหม อาจารย์มาประชุมงาน Expo เจอชาวบ้านตั้งคำถาม และการเข้าถึงระบบคาร์บอนเครดิตไม่ได้ ตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ดังนั้นเหยื่อนี้มีหลายคนพร้อมจะงับและได้ผลประโยชน์ แต่คนส่วนใหญ่อาจจะเข้าไม่ถึง จะทำอย่างไรให้คนในประเทศเข้าถึง และให้มองออกว่าอันไหนเหยื่อล่อ อันไหนเหยื่อที่ไม่อันตราย เราอาจต้องมองจากมุมภายนอกและมองแบบอุดมคติจากฝั่งปฏิบัติ จะมองเห็นบริบทต่าง ๆ ของเกมส์ที่จะมาล่อ เกมส์ไม่ได้เปลี่ยน แต่ Keyword ต่าง ๆ และสถานการณ์ที่เป็นเหยื่อล่อ มันชี้ให้เห็นบริบทที่เปลี่ยนไป

อีกหนึ่งกลไก ภายใต้ข้อตกลงคุณหมิง การขยายพื้นที่คุ้มครองหลากหลายชีวภาพทางบกและทางทะเล 30×30 รวมถึงพื้นที่นอกเขตการอนุรักษ์ เช่น พื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง หรือ Other Effective Conservation Measures (OECM) ซึ่งให้ชุมชนอนุรักษ์ความหลากหลายพันธุกรรมของตัวเองได้ บริษัทก็มามีส่วนร่วมได้ ทั้งทำของตัวเองหรือไปส่งเสริมหรือร่วมทุนได้ นั่นหมายความว่า การเข้าถึงฐานพันธุกรรมจะมีการเข้าถึงในพื้นที่ Area base มากขึ้น

แนวคิดดูดี หากมองย้อนกลับไป ชิ้นเค้กเดิมที่ชุมชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ กลายเป็นชิ้นเค้กที่มีการแบ่งเค้กให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ชิ้นเค้กชิ้นเดิมที่รัฐบาลไม่สามารถคุ้มครองผลประโยชน์ให้กับพื้นที่ได้ แต่กลับจะแบ่งแบบใหม่ และหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ถามว่าคนที่เข้ามา เค้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ ทางออกแบบนี้จะยั่งยืนจริงหรือเปล่า

เพราะสิ่งที่จะตามมาที่ภาครัฐยังไม่ได้คิดต่อหลังจากนี้คือ การเข้าถึงพันธุกรรมถึงก้นครัว แล้วแปลงเป็นสิทธิบัตร หรือการครอบครองฐานทรัพยากรในภายหลัง สิ่งที่ต้องคำนึงคือ ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนได้ลงมือ ได้เป็นเจ้าของ ร่วมแชร์หรือไม่ (ไม่ใช่แค่แชร์ผลประโยชน์ทางการเงิน) แต่ต้องมีส่วนที่เป็นส่วนร่วมในการทำ และรับรู้ในพื้นที่ของเขาไหม เป็นการแชร์ผลประโยชน์ที่พัฒนาศักยภาพชุมชนอย่างยั่งยืนด้วย

          หลักการสำคัญของอนุสัญญาความหลากหลายชีวภาพที่ยังไม่ถูกนำมาใช้เท่าไหร่นัก คือ การ Priority Inform Consent ชุมชนยินยอมไหม การแจ้งแบบไม่ครอบคลุมและผิวเผิน เหมือนพูดความจริงครึ่งเดียว ชุมชนควรดีใจไหม

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น รัฐบาลมักจะพัฒนาตามความจำเป็นเร่งด่วน แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้มาจากแผนการพัฒนาที่เป็นจริง หยั่งคิด และมองภาพอนาคตอย่างรอบคอบจริงๆ จึงเกิดภาพที่คนรากหญ้าที่ครอบครองฐานทรัพยากร ขาดโอกาสที่จะเข้ามามีส่วนร่วม Say no Say yes หรือแม้กระทั่งขาดโอกาสการได้รับองค์ความรู้พื้นฐานให้เขาเข้าใจว่า เขาครอบครองทรัพยากรอะไร มีค่าขนาดไหน ทำไมต้องหวงแหน ชาวบ้านยังไม่ทราบเลย ตอนนี้ระบบต่าง ๆ มันติดเงื่อนไข รากหญ้าไม่สามารถไปเชื่อมโยงกับระบบที่วางไว้ได้ ช่องว่างก็กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเดิมทีชิ้นเค้กเป็นของประเทศ โดยท้องถิ่นที่เป็นตัวแทนย่อย ๆ ของแต่ละชุมชน กำลังจะถูกปัดทิ้ง และเอาคนอื่น หรือ third party มาแชร์ชิ้นเค้กนี้มากขึ้นแทน บางมุมอาจจมองว่าเป็นความได้เปรียบ แต่อาจารย์มองว่าเป็นความเสียเปรียบ  เพราะพอเป็นเรื่องผลประโยชน์ ภาคธุรกิจ ไม่มีใครทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม แต่เป็นประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น

ภาคราชการเองก็ส่วนนึง แต่ในส่วนนักวิทยาศาสตร์ ที่อยู่แนวหน้าเรื่องนี้ที่ติดตามสถานการณ์ การลงทุนและงานวิจัยในเรื่องนี้ ในภาพรวมดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ตื่นตัวเรื่องนี้

หลายท่านไม่ได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ เวทีเจรจาที่มีตัวแทนวิทยาศาสตร์ แต่ตัวแทนนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้สะท้อนความเป็นตัวแทนรากหญ้า (รากหญ้าที่หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งสัมผัสฐานทรัพยากร ปู่ย่าตายาย รากหญ้าหมายถึงรากเหง้าที่อยู่กับฐานทรัพยากรมานาน รากหญ้าหมายถึงนักวิทยาศาสตร์ที่สัมผัสกับตัวทรัพยากรในนามชุมชนจริง ไม่ใช่รากหญ้าในความหมายของนักการเมือง) เมื่อไม่ได้มองเชื่อมโยงกลับไปถึงต้นตอ จะทำให้ระบบที่มีอยู่มันขาดผึง หมายความว่า คนตัดสินใจอยู่บนหอคอยแต่ไม่เชื่อมโยงมาถึงข้างล่างจริงๆ

ชุมชนท้องถิ่น ตั้งแต่ชนเผ่าพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น เกษตรกร และผู้บริโภคเราควรมส่วนร่วมและขับเคลื่อนอย่างไรให้เท่าทัน

โชคไม่ดีที่ชุมชนท้องถิ่นของเราไม่ได้มีทรัพยากรและภาระกำลังที่จะบริหารทรัพยากรท้องถิ่นได้เอง ลำพังแค่ปากกัดตีนถีบก็จะไม่ไหวแล้ว ที่ผ่านมาเค้าทำหน้าที่มาอย่างสมบูรณ์ ปู่ย่าตายาย คัดเลือกและอนุรักษ์พันธุ์ส่งต่อมาเป็นร้อยปี เพื่อให้เราเข้าถึงได้ แต่พอมาถึงจุดจุดนึง ไม่ได้เอาข้อมูลตรงนี้มาพัฒนาต่อ นี่คือสิ่งที่ระบบบ้านเราทำงานจากบนลงล่างไม่ใช่ล่างขึ้นข้างบน ยกตัวอย่าง บริบทญี่ปุ่น แม้ไม่ใช่คำถาม แต่พอเทียบเคียงกันได้ ที่ญี่ปุ่นมีความเข้มแข็งในการทำงานร่วมกัน กลุ่มมาก่อนเดี่ยว ส่วนรวมมาก่อนส่วนตัว ทำให้รูปแบบการจัดการสหกรณ์เค้าเข็มแข็งและสมบูรณ์ คิดประเด็นจากฐานชุมชน และลากจากล่างขึ้นไปสู่ข้างบน ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจะส่งต่อขึ้นไปเรื่อย ๆ สหกรณ์ทำงานคู่กับจังหวัด ไม่แบ่งแยกกัน แต่ในไทยไม่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ ไทยเรามีวิสาหกิจชุมชนกับราชการ ทำงานต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้กอดคอวางแผนบริหารจัดการทำงานด้วยกัน

สิ่งที่เราขาดคือ ระบบการทำงานเชื่อมโยงกัน ต้องเกิดขึ้นในไทย อย่างน้อยเรามีวิสาหกิจชุมชน พอทดแทนการทำงานแทนบริบทสหกรณ์ได้บ้าง ทำอย่างไรให้กลุ่มเหล่านี้ นอกจากมีศักยภาพในการผลิต ในทำงานพัฒนา และงานค้าขายด้านเดียว แต่ให้ไปควบรวมกับการทำงานเชิงปกป้องคุ้มครองฐานพันธุกรรม ทั้งตัวทรัพยากรและข้อมูล มีหน่วยงานรัฐมาเป็นพี่เลี้ยงแบบกอดคอ เพื่อให้สามารถพัฒนาไปสู่การแข่งขันที่ได้เปรียบมากขึ้น เมื่อเทียบกับชุมชนอื่น จังหวัดอื่น หรือชาติอื่น

เราจะเรียนรู้จากญี่ปุ่น แม้โมเดลจะไม่เหมือนทั้งหมด แต่เราไม่ต้องซื้อบทเรียนเหล่านี้ มันของฟรี เพียงแค่เราต้องมาปรับใช้กับบริบทของเรา หลักคิดล่างขึ้นบนจะตอบโจทย์มากกว่า บนลงล่าง ประเด็นนี้ซึ่งรวมถึงเรื่องที่เป็นหัวใจ เรื่องพันธุกรรม และความหลากหลายที่เรากล่าวถึงไปด้วย

Scroll to Top