THAI CLIMATE JUSTICE for All

แนวคิดทฤษฎีเครือข่าย-ผู้กระทำการ (Actor-Network Theory: ANT) กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บทนำ

ทฤษฎีเครือข่าย-ผู้กระทำการ (Actor-Network Theory: ANT) ที่พัฒนาขึ้นโดย Bruno Latour, Michel Callon, และ John Law ในช่วงทศวรรษ 1980 เป็นทฤษฎีที่มีความโดดเด่นในการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (non-human actants) ในการสร้างความเป็นจริงของโลก

ทฤษฎีนี้เสนอว่าไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่มีบทบาทในการก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคม แต่สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น วัตถุ เทคโนโลยี และธรรมชาติ ก็เป็น “ผู้กระทำการ” เช่นกัน

แนวคิดนี้มีความสำคัญอย่างมากเมื่อเรานำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทุกภาคส่วนของสังคม

บทความนี้จะสังเคราะห์แนวคิดของ ANT กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นกระบวนการที่มีปัจจัยหลากหลาย ทั้งมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มีส่วนในการสร้างเครือข่ายที่ส่งผลกระทบต่อกัน

การนำแนวคิด ANT มาใช้ช่วยให้เรามองเห็นโครงสร้างที่ซับซ้อนของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิธีที่ผู้กระทำการต่างๆ มีบทบาทในการสร้างความเปลี่ยนแปลงนี้

แนวคิดหลักของ ANT

ทฤษฎีเครือข่ายผู้กระทำการ (ANT) มุ่งเน้นการสำรวจความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้กระทำการทั้งที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์

ใน ANT ผู้กระทำการแต่ละฝ่ายมีบทบาทในการสร้างเครือข่ายที่มีผลต่อความเป็นจริง ผู้กระทำการเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงมนุษย์ แต่ยังรวมถึงวัตถุ เทคโนโลยี และธรรมชาติด้วย

การเปลี่ยนแปลงในเครือข่ายหนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อผู้กระทำการอื่น ๆ ภายในเครือข่าย ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่กว้างขวางยิ่งขึ้น

แนวคิดหลักใน ANT คือ “การแปล” (translation) ซึ่งหมายถึง กระบวนการที่ผู้กระทำการพยายามเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์และความหมายของเครือข่ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแปลหมายถึง การที่มนุษย์พยายามควบคุมธรรมชาติ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการสร้างนโยบายเพื่อจัดการกับผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมุมมองของ ANT

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปรากฏการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างซับซ้อน ซึ่งมีทั้งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) การใช้พลังงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และนโยบายทางเศรษฐกิจ การมองผ่านแนวคิดของ ANT ช่วยให้เราเข้าใจว่า ทั้งมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มีบทบาทร่วมกันในการสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างเช่น ก๊าซ CO2 ที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกมองว่าเป็น “ผู้กระทำการ” ที่มีบทบาทในระบบนิเวศ เนื่องจากมันส่งผลกระทบต่อบรรยากาศโลกและเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในมุมมองของ ANT ก๊าซเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตที่ไม่มีชีวิต แต่เป็นผู้กระทำการที่สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น มนุษย์ สัตว์ และพืช เป็นต้น

ดังนั้น การพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงเป็นการจัดการความสัมพันธ์ในเครือข่ายของผู้กระทำการต่าง ๆ เพื่อสร้างผลกระทบที่เป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศ

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ ANT กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

1. การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (Carbon Markets)

การบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านตลาดคาร์บอนเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้แนวคิดของ ANT กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ตลาดคาร์บอนเป็นกลไกที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซ โดยมีการสร้างหน่วยการค้า (เช่น หน่วยก๊าซคาร์บอนที่ลดลง) ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัวอย่างของการแปลความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับก๊าซ CO2 และสร้างกลไกทางเศรษฐกิจเพื่อให้มนุษย์สามารถ “เจรจา” กับธรรมชาติผ่านการค้า

หน่วยเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นผู้กระทำการในเครือข่ายที่มนุษย์พยายามควบคุมเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางนิเวศวิทยา

การใช้ตลาดคาร์บอนสะท้อนให้เห็นถึงการสร้างเครือข่ายผู้กระทำการใหม่ ๆ เช่น นโยบายของรัฐบาล หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่เข้ามามีบทบาทในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทุกฝ่ายในเครือข่ายนี้ล้วนมีบทบาทในการกำหนดผลลัพธ์ของการลดก๊าซเรือนกระจก

2. การเปลี่ยนแปลงในเมืองกรุงเทพฯ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก รวมถึงกรุงเทพฯ ที่เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้งและการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในเมือง

ในมุมมองของ ANT ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นผลจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่เป็นผลจากการเชื่อมโยงของผู้กระทำการหลายฝ่าย เช่น การขยายตัวของเมือง การตัดไม้ทำลายป่า การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการน้ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากทั่วโลก

การศึกษาปัญหาเหล่านี้ผ่านแนวคิดของ ANT ช่วยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยี เช่น การออกแบบระบบระบายน้ำ การสร้างพื้นที่สีเขียวในเมือง และการจัดการมลพิษ

การกระทำเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในเครือข่ายได้ ซึ่งส่งผลต่อการปรับตัวของเมืองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

วิธีการศึกษาแนวคิดเครือข่ายผู้กระทำการ (ANT) ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การศึกษาแนวคิดเครือข่ายผู้กระทำการ (ANT) ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีวิธีการสำคัญที่เน้นไปที่การวิเคราะห์ความสัมพันธ์และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำการที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ในระบบเครือข่าย วิธีการที่สำคัญในการศึกษามีดังนี้:

1. การวิเคราะห์เครือข่าย (Network Analysis)

วิธีการศึกษานี้มุ่งเน้นการทำความเข้าใจถึงโครงสร้างของเครือข่ายผู้กระทำการ และวิธีที่ผู้กระทำการต่าง ๆ เชื่อมโยงและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

การศึกษาเครือข่ายนี้จะวิเคราะห์ทั้งการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น หน่วยงานรัฐบาล นักวิทยาศาสตร์ และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม และผู้กระทำการที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ก๊าซเรือนกระจก สัตว์ป่า และเทคโนโลยีการพลังงาน

2. การศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography of Climate Politics)

วิธีนี้มุ่งเน้นการศึกษาความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติผ่านการสังเกตและการสัมภาษณ์ในระดับท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น การศึกษาวิถีชีวิตของชุมชนที่อาศัยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การสำรวจว่าชุมชนในเกาะแปซิฟิกปรับตัวอย่างไรต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล หรือการศึกษาผลกระทบของการปลูกพืชเชิงเดี่ยวต่อชุมชนในแถบแอมะซอน

3. การวิเคราะห์กรณีศึกษา (Case Study Analysis)

การนำกรณีศึกษาจากพื้นที่เฉพาะมาใช้ในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำการในเครือข่ายที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายตลาดคาร์บอนต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการศึกษาโครงการพลังงานหมุนเวียนที่นำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศต่าง ๆ

ข้อวิพากษ์แนวคิดเครือข่ายผู้กระทำการ (ANT)

แนวคิดเครือข่ายผู้กระทำการ (ANT) แม้ว่าจะเป็นแนวคิดที่เปิดมุมมองใหม่ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ได้รับข้อวิพากษ์หลายประการในงานวิจัยและวงการวิชาการ ดังนี้:

1. ขาดการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและอำนาจ (Lack of Structural and Power Analysis)

หนึ่งในข้อวิพากษ์หลักต่อ ANT คือแนวคิดนี้ขาดการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและอำนาจ นักวิจารณ์เช่น Andreas Malm ชี้ให้เห็นว่า ANT มุ่งเน้นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบเท่าเทียมกันระหว่างผู้กระทำการ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับโครงสร้างของอำนาจในระบบเศรษฐกิจและการเมือง เช่น โครงสร้างทางอำนาจที่บริษัทขนาดใหญ่หรือรัฐบาลมีบทบาทในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าชุมชนท้องถิ่นทั่วไป

การมองผู้กระทำการทุกฝ่ายในลักษณะเท่าเทียมกันทำให้มิติด้านการกดขี่หรือความไม่เท่าเทียมถูกมองข้าม

นักวิจารณ์บางคน เช่น David Bloor ตั้งข้อสงสัยว่า การให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ในฐานะผู้กระทำการอาจทำให้ความสำคัญของมนุษย์และการตัดสินใจของมนุษย์ในเชิงการเมืองและเศรษฐกิจลดลง

2. การยอมรับว่าก๊าซเรือนกระจกหรือเทคโนโลยีเป็นผู้กระทำการที่มีบทบาท อาจทำให้การตัดสินใจของผู้มีอำนาจในระดับการเมืองถูกมองข้ามในแง่ที่ว่า มนุษย์มีความรับผิดชอบหลักในการสร้างความเปลี่ยนแปลง

3. ความซับซ้อนที่มากเกินไป (Complexity of ANT)

ANT ถูกวิจารณ์ว่ามีความซับซ้อนและยากที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในกรณีศึกษาจริง เนื่องจากเครือข่ายของผู้กระทำการใน ANT มักมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักวิจัยบางคนรู้สึกว่ายากที่จะติดตามการปฏิสัมพันธ์ของผู้กระทำการที่หลากหลายภายในเครือข่ายและนำเสนอผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้

ข้อวิจารณ์นี้เกิดจากการที่เครือข่ายผู้กระทำการใน ANT มักไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดที่ชัดเจน และต้องใช้เวลามากในการทำความเข้าใจเครือข่ายเหล่านั้น

4. การวิพากษ์ว่าขาดกรอบเชิงทฤษฎีที่ชัดเจน (Lack of a Clear Theoretical Framework)

บางคนวิจารณ์ว่า ANT ขาดกรอบทฤษฎีที่เป็นระบบหรือกรอบที่สามารถอธิบายปัญหาได้อย่างชัดเจน เนื่องจาก ANT มุ่งเน้นการอธิบายความสัมพันธ์และการปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในเครือข่ายอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีข้อกำหนดตายตัวว่าการกระทำใดถูกหรือผิด ทำให้บางครั้งแนวคิดนี้อาจไม่สามารถอธิบายถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในแง่ของวิธีแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมา

Bruno Latour ได้ตอบสนองต่อข้อวิจารณ์ต่อแนวคิดทฤษฎีเครือข่ายผู้กระทำการ (ANT) ดังนี้

1. ข้อวิจารณ์เรื่องการขาดการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและอำนาจ

นักวิจารณ์อย่าง Andreas Malm ได้วิพากษ์ว่า ANT ขาดการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและการพิจารณาถึงบทบาทของอำนาจ เช่น อิทธิพลของบรรษัทขนาดใหญ่หรือรัฐบาลที่มีอำนาจควบคุมทรัพยากรธรรมชาติได้มากกว่า

Latour อธิบายว่า ANT ไม่ได้มองข้ามบทบาทของอำนาจ แต่เสนอว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำการเป็นผลจากการเจรจาต่อรอง (negotiation) ที่เกิดขึ้นในเครือข่ายของผู้กระทำการ

Latour มองว่า อำนาจไม่ใช่สิ่งที่สามารถสะสมหรือควบคุมได้โดยเพียงกลุ่มเดียว แต่เป็นสิ่งที่กระจายอยู่ทั่วเครือข่ายของผู้กระทำการ การกระทำใดๆ จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการเชื่อมโยงและเจรจากับผู้กระทำการอื่น ๆ ในเครือข่าย เช่น เทคโนโลยีหรือธรรมชาติ ดังนั้น ANT จึงพยายามวิเคราะห์ความสัมพันธ์เหล่านี้ในลักษณะกระจายอำนาจ

2. ข้อวิจารณ์เรื่องการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มากเกินไป

มีนักวิจารณ์ เช่น David Bloor ที่ตั้งคำถามว่า การให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (non-human actants) มากเกินไปอาจทำให้ความสำคัญของมนุษย์และการตัดสินใจของมนุษย์ในเชิงการเมืองและเศรษฐกิจถูกลดบทบาทลง

Latour ยืนยันว่า การให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะมีบทบาทน้อยลง เขาอธิบายว่าการพิจารณาบทบาทของผู้กระทำการที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือเทคโนโลยี เป็นการมองโลกในลักษณะที่เปิดกว้างมากขึ้น เพื่อให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงในสังคมและสิ่งแวดล้อม Latour เน้นว่าโลกที่เรามีอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำการหลายฝ่าย ไม่ใช่แค่เฉพาะมนุษย์

3. ข้อวิจารณ์เรื่องความซับซ้อนของ ANT

บางครั้ง ANT ถูกวิพากษ์ว่ามีความซับซ้อนในการติดตามและเข้าใจเครือข่ายของผู้กระทำการที่หลากหลาย ทำให้นักวิจัยบางคนรู้สึกว่ายากที่จะวิเคราะห์ให้ชัดเจน ในการตอบสนอง

Latour ยอมรับว่าเครือข่ายของผู้กระทำการนั้นมีความซับซ้อนจริง แต่เขาเน้นว่าสิ่งนี้สะท้อนถึงความเป็นจริงของโลกที่มีความซับซ้อนมาก การวิเคราะห์โลกในลักษณะที่ไม่ซับซ้อนเพียงเพื่อให้เข้าใจง่ายอาจทำให้เราไม่สามารถเข้าใจถึงความเป็นจริงของปัญหาได้อย่างลึกซึ้ง

Latour เสนอว่า การที่ ANT พยายามจัดการกับความซับซ้อนเหล่านี้เป็นความพยายามที่จะไม่ละเลยความเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างผู้กระทำการ

4. การขาดกรอบทฤษฎีที่ชัดเจน

อีกข้อวิจารณ์หนึ่งที่สำคัญคือ ANT ขาดกรอบทฤษฎีที่ชัดเจน ซึ่งทำให้ยากต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ ในการตอบสนอง

Latour ชี้แจงว่า ANT ไม่ได้มุ่งหวังที่จะสร้างกรอบทฤษฎีแบบตายตัว แต่มุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจโลกในลักษณะของการกระทำที่ต่อเนื่องและเปิดกว้าง การทำความเข้าใจเครือข่ายของผู้กระทำการไม่ได้ต้องการกำหนดข้อสรุปทางทฤษฎีที่ตายตัว แต่ต้องการสำรวจและเปิดโอกาสให้ผู้วิจัยสามารถวิเคราะห์เครือข่ายในลักษณะที่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์

Latour ยืนยันว่าทฤษฎีเครือข่ายผู้กระทำการ (ANT) เป็นกรอบแนวคิดที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น ซึ่งช่วยให้เราสามารถมองเห็นความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ANT ไม่ได้มุ่งเน้นการลดบทบาทของมนุษย์หรือขาดการพิจารณาเชิงอำนาจ แต่เน้นว่าผู้กระทำการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มีบทบาทในการสร้างผลลัพธ์ในเครือข่ายของพวกเขา

ข้อสรุป

การนำทฤษฎีเครือข่ายผู้กระทำการ (ANT) มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาและทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เราเห็นภาพของปัญหาที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ทั้งมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์

แนวคิดนี้ช่วยเปิดมุมมองที่แตกต่างในการวิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เน้นความสัมพันธ์ของผู้กระทำการต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม ANT ก็ได้รับข้อวิพากษ์ในหลายประเด็น เช่น การขาดการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและอำนาจ และการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มากเกินไป

ข้อวิพากษ์เหล่านี้เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาและปรับปรุงการนำ ANT มาใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต


อ้างอิง

Latour, B. (1993). We Have Never Been Modern. Harvard University Press.

Callon, M. (1986). Some elements of a sociology of translation: Domestication of the scallops and the fishermen of St Brieuc bay. In Power, Action, and Belief: A New Sociology of Knowledge? (pp. 196–233). London: Routledge.

Malm, A. (2020). The Progress of This Storm: Nature and Society in a Warming World. Verso.

Bloor, D. (1999). Anti-Latour. Studies in History and Philosophy of Science.

Scroll to Top