THAI CLIMATE JUSTICE for All

แนวคิดเรื่อง “โซนวิกฤต” ของ Bruno Latour: การเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาและการอยู่ร่วมกันในยุค Anthropocene

บทนำ

Bruno Latour เป็นนักคิดที่มีอิทธิพลในสาขาสังคมวิทยาและปรัชญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยา หนึ่งในแนวคิดที่โดดเด่นของเขาคือ “โซนวิกฤต” (Critical Zones) ซึ่งถูกนำเสนอเพื่ออธิบายถึงพื้นที่ที่เปราะบางที่สุดของโลกที่รองรับสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศ (หรือ “ผิวบาง” ของโลก; “fragile skin”) แนวคิดนี้สะท้อนถึงความซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาที่มีผลมาจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบในยุค Anthropocene ที่มนุษย์มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ความหมายของโซนวิกฤต

“โซนวิกฤต” ตามแนวคิดของ Latour หมายถึงพื้นที่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกทางชีววิทยา (สิ่งมีชีวิต) และธรณีวิทยา (สิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม พื้นที่เหล่านี้รองรับระบบนิเวศทั้งหมดและเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต Latour มองว่าโซนวิกฤตเป็นพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาและธรณีวิทยาอย่างรวดเร็วจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การทำลายป่า การเกษตรกรรมขนาดใหญ่ การขุดเจาะทรัพยากร การสร้างเมือง และการปล่อยมลพิษ

โซนวิกฤตไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาทางสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นพื้นที่ที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติในรูปแบบใหม่ มนุษย์ไม่สามารถแยกตัวออกจากธรรมชาติได้อีกต่อไป การจัดการพื้นที่เหล่านี้จำเป็นต้องใช้แนวทางที่บูรณาการทั้งจากวิทยาศาสตร์ การเมือง และการปรับตัวของสังคม

คำสำคัญ (Key Terms)

1. Critical Zones – พื้นที่เปราะบางของโลกที่รองรับสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศ
2. Anthropocene – ยุคที่มนุษย์มีอิทธิพลสำคัญต่อระบบนิเวศและธรณีวิทยาของโลก
3. Gaia – แนวคิดที่โลกเป็นระบบที่เชื่อมโยงกันทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต
4. Ecological Fragility – ความเปราะบางของระบบนิเวศซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม
5. Political Ecology – การศึกษาเชิงบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการเมือง

โซนวิกฤตในยุค Anthropocene

Latour ใช้แนวคิดโซนวิกฤตเพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศที่มนุษย์มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะในยุค Anthropocene ซึ่งเป็นยุคที่การกระทำของมนุษย์มีผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรงและทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ หรือการขุดเจาะทรัพยากร แนวคิดโซนวิกฤตช่วยให้เรามองเห็นผลกระทบเหล่านี้ในมุมมองที่กว้างขึ้นและซับซ้อนมากขึ้น Latour ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ไม่สามารถมองโลกแบบแยกส่วนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติได้อีกต่อไป แต่ต้องมองในแง่ของความเชื่อมโยงและการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

ในงาน “Critical Zones: The Science and Politics of Landing on Earth” (2020) Latour และ Peter Weibel ได้ร่วมกันรวบรวมมุมมองของนักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาหลายท่านเพื่ออธิบายถึงความซับซ้อนของโซนวิกฤตในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวของมนุษย์ หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าโซนวิกฤตคือพื้นที่ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงจากการกระทำของมนุษย์ และการปรับตัวในโซนวิกฤตเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์ในอนาคต

การศึกษาโซนวิกฤต (Methods of Studying Critical Zones)

การศึกษาโซนวิกฤตของ Latour มุ่งเน้นการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิต มนุษย์ และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ในสภาพแวดล้อมที่เปราะบาง โดยมีหลายวิธีการศึกษา ได้แก่:

1. การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์นิเวศวิทยา

การศึกษาผ่านการสำรวจทางธรณีวิทยาและชีววิทยาเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ การละลายของธารน้ำแข็ง การกัดเซาะของดิน และการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ

2. การศึกษาเชิงการเมืองและสังคม

การศึกษาผลกระทบทางการเมืองและสังคมที่มีต่อโซนวิกฤต เช่น การวิเคราะห์นโยบายการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบจากการสร้างเขื่อน หรือการใช้ทรัพยากรน้ำที่อาจสร้างความขัดแย้งระหว่างชุมชนท้องถิ่นและผู้มีอำนาจ

3. การวิเคราะห์แบบบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรม

การศึกษามุมมองทางมานุษยวิทยาและวัฒนธรรมเกี่ยวกับวิธีที่ชุมชนท้องถิ่นปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของโซนวิกฤต เช่น การฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวในเมือง หรือการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่นที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศในระยะยาว

ตัวอย่างการศึกษาโซนวิกฤต (Case Studies)

1. โซนวิกฤตในเทือกเขาหิมาลัย

การศึกษาโซนวิกฤตในเทือกเขาหิมาลัยเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนและการละลายของธารน้ำแข็งที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้ำจืด นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวัดการเปลี่ยนแปลงของน้ำและการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศที่ส่งผลต่อการเกษตรและการใช้ชีวิตของชุมชนท้องถิ่น การศึกษานี้ยังครอบคลุมถึงความขัดแย้งทางการเมืองในการจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย เนปาล และจีน

2. การฟื้นฟูพื้นที่โซนวิกฤตในอเมซอน

การศึกษาในป่าอเมซอนเน้นการวิเคราะห์ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการพัฒนาเพื่อการเกษตร การศึกษานี้ได้นำไปสู่การจัดทำนโยบายเพื่ออนุรักษ์ป่าไม้และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการนำวิธีการเกษตรที่ยั่งยืนมาใช้เพื่อลดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ

ข้อวิพากษ์ต่อแนวคิดโซนวิกฤต (Critical Perspectives) – ต่อ

ตัวอย่างเช่น Isabelle Stengers นักปรัชญาที่มีบทบาทในการสนับสนุนงานของ Latour ได้แสดงความเห็นว่า แนวคิดโซนวิกฤตเป็นกรอบแนวคิดที่ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์โลกได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่เธอก็แสดงข้อสังเกตว่า Latour อาจให้ความสำคัญกับมุมมองเชิงวิทยาศาสตร์มากเกินไป โดยไม่ได้พิจารณามิติทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งเพียงพอ เช่น ความเชื่อท้องถิ่น ประเพณี หรือความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในบริบทเฉพาะเจาะจงของแต่ละชุมชน

ในทางกลับกัน Andreas Malm นักวิชาการด้านนิเวศวิทยาและการเมือง ได้วิพากษ์ว่า แนวคิดของ Latour เกี่ยวกับโซนวิกฤตนั้นมุ่งเน้นไปที่การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในลักษณะของการบูรณาการมากเกินไป โดยมองข้ามโครงสร้างอำนาจและความไม่เท่าเทียมในสังคม Malm เห็นว่าแนวคิดนี้ไม่ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการกดขี่หรือการใช้ทรัพยากรอย่างไม่เท่าเทียม ซึ่งมักจะเป็นปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับโลก

Bruno Latour เองเคยตอบสนองต่อข้อวิจารณ์เหล่านี้ โดยเขาเห็นว่า แนวคิดโซนวิกฤตไม่ได้พยายามแก้ไขปัญหาเชิงการเมืองในลักษณะของการวิเคราะห์อำนาจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการเน้นให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในบริบทที่กว้างขวางกว่า เช่น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ การมองโลกผ่านเลนส์ของโซนวิกฤตจึงเป็นการเน้นย้ำให้เห็นว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และต้องรับผิดชอบต่อการรักษาระบบนิเวศนี้ให้ยั่งยืน

ข้อสรุป

แนวคิดโซนวิกฤตของ Bruno Latour เป็นกรอบแนวคิดที่ทรงพลังในการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาในยุค Anthropocene โดยเน้นการเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกับการเมือง การศึกษาโซนวิกฤตช่วยให้เราเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ทั้งในด้านนิเวศวิทยาและสังคม การวิเคราะห์ผ่านกรอบแนวคิดนี้ช่วยเปิดโอกาสให้เราได้สำรวจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ รวมถึงการปรับตัวและการอยู่ร่วมกันในโลกที่เผชิญกับวิกฤตทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ข้อวิพากษ์จากนักวิชาการคนอื่นๆ เช่น Stengers และ Malm ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการขยายกรอบการวิเคราะห์เพื่อรวมถึงประเด็นด้านอำนาจ ความไม่เท่าเทียม และมิติทางวัฒนธรรมในการศึกษาวิกฤตทางสิ่งแวดล้อม


อ้างอิง

Latour, B., & Weibel, P. (2020). Critical Zones: The Science and Politics of Landing on Earth. MIT Press.

Latour, B. (2017). Facing Gaia: Eight Lectures on the New Climatic Regime. Polity Press.

Stengers, I. (2005). The Cosmopolitical Proposal. In Latour, B., & Weibel, P. (Eds.), Making Things Public: Atmospheres of Democracy (pp. 994-1004). MIT Press.

Malm, A. (2020). The Progress of This Storm: Nature and Society in a Warming World. Verso.

Scroll to Top