
Chat GPT generated
เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะปัญหานี้ซับซ้อนและใหญ่เกินกว่าจะเห็นผลลัพธ์ในระยะสั้น
หลายคนรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังต่อสู้กับกระแสขนาดใหญ่ที่ยากจะพลิกกลับ เช่น ความขัดแย้งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลา หรือการไร้ความสนใจของรัฐบาลในหลายประเทศ แต่หากมองลึกลงไป จะพบว่าความหวังยังคงมี และมีความเคลื่อนไหวสำคัญที่ช่วยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจริงในระดับที่มีผลกระทบในวงกว้าง
ทำไมจึงยังมีความหวัง?
1. พัฒนาการด้านเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลม กลายเป็นพลังงานที่มีต้นทุนต่ำกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลในหลายพื้นที่ทั่วโลก แบตเตอรี่เก็บพลังงานและเทคโนโลยีการจัดเก็บพลังงานรูปแบบใหม่ก็กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
การลดต้นทุนทำให้ประเทศและบริษัทต่างๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงานของตนมากขึ้น หากเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถแพร่กระจายและเข้าถึงได้ในวงกว้างมากพอ เราจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างรวดเร็ว
2. ความเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ เยาวชนทั่วโลกได้แสดงพลังและความมุ่งมั่นในการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง เช่น การเคลื่อนไหวของ Greta Thunberg และ Fridays for Future ที่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการเมืองระดับโลก
ขณะเดียวกัน เยาวชนในหลายประเทศเริ่มเข้ามามีบทบาทในการพัฒนานโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับฐานราก
3. แรงกดดันจากสังคมและการเคลื่อนไหวระดับโลก แรงกดดันจากประชาชนและภาคประชาสังคมมีผลต่อการตัดสินใจของบริษัทและรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การรณรงค์ให้บริษัทต่างๆ ยุติการลงทุนในธุรกิจฟอสซิล (Divestment Campaign) ประสบความสำเร็จในหลายประเทศ มีมหาวิทยาลัยและกองทุนขนาดใหญ่เริ่มถอนการลงทุนจากบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล และหันไปลงทุนในพลังงานหมุนเวียนแทน ทำให้เกิดกระแสต่อต้านเชื้อเพลิงฟอสซิลในเชิงสัญลักษณ์และเชิงปฏิบัติ
4. ข้อตกลงและนโยบายระดับนานาชาติ ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) แม้จะมีข้อจำกัด แต่ได้สร้างกรอบและเป้าหมายร่วมกันในระดับนานาชาติ รัฐบาลกว่า 190 ประเทศได้ลงนามและตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การที่หลายประเทศปรับปรุงแผน NDC (Nationally Determined Contributions) ให้เข้มแข็งขึ้นและตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero Emissions) แสดงให้เห็นว่ามีความคืบหน้าและความตั้งใจจากหลายภาคส่วน
5. บทบาทของธุรกิจและการเงินสีเขียว ธุรกิจขนาดใหญ่และสถาบันการเงินเริ่มหันมาลงทุนในโครงการสีเขียว เช่น พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และโครงการที่มีความยั่งยืน นี่ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ แต่ยังมาจากการตระหนักว่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมจะส่งผลต่อกำไรในระยะยาว ตัวอย่างเช่น BlackRock กองทุนการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ประกาศนโยบายยุติการลงทุนในบริษัทที่ไม่แสดงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
6. แนวทางการฟื้นฟูหลังวิกฤต COVID-19 หลังการระบาดของ COVID-19 มีความพยายามในหลายประเทศที่จะใช้โอกาสนี้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกับการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว (Green Recovery) เช่น การลงทุนในพลังงานสะอาด การส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากแผนเหล่านี้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ก็จะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการลดโลกร้อนในระยะยาว
แล้วทำไมจึงดูเหมือนยังไม่สำเร็จ
1. ความล่าช้าและผลประโยชน์ขัดแย้ง: การเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างใหญ่ๆ เช่น การเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ต้องเผชิญกับความขัดแย้งผลประโยชน์จากผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยังคงได้ประโยชน์จากระบบปัจจุบัน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงจึงต้องใช้เวลาและต้องมีแรงกดดันจากหลายภาคส่วน
2. ความไม่เท่าเทียมในระดับโลก: ประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นต้นเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีตยังไม่สามารถรับผิดชอบหรือสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาได้เพียงพอ สิ่งนี้สร้างความไม่เท่าเทียมในการรับมือกับปัญหาและทำให้การแก้ปัญหาระดับโลกเป็นไปได้ยาก
3. การขาดเจตจำนงทางการเมืองในบางประเทศ: ประเทศที่มีบทบาทสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกาและจีน มีความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ทำให้การแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นไปอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ดังนั้นแม้จะมีความก้าวหน้าจากบางประเทศหรือบางองค์กร แต่ถ้าประเทศหลักๆ ยังขาดความร่วมมือก็จะทำให้การแก้ปัญหาไม่ทั่วถึง
สรุป
แม้ว่าเส้นทางในการกู้วิกฤตโลกร้อนจะดูยาวไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หากมีการรวมพลังจากทุกภาคส่วน การขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้เป็นธรรม และยั่งยืนให้ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
ดังนั้นความหวังยังคงมี และการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในอนาคตได้