
ความรู้สึก “ไม่มีความหวัง” ในการเผชิญปัญหาโลกร้อนนั้นไม่ใช่เพียงเพราะความซับซ้อนและความใหญ่โตของปัญหา แต่เกิดจากการติดอยู่ในกรอบคิดทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่มีลักษณะของการแสวงหากำไรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และการเน้นการเติบโตของ GDP มากกว่าความยั่งยืนและความเป็นธรรมต่อสิ่งแวดล้อม
ทุนนิยมทำให้ผู้คนถูกจำกัดให้อยู่ในแนวคิดที่ว่าการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะต้องผ่านระบบตลาด การลงทุนเทคโนโลยีใหม่ หรือการสร้างภาพลักษณ์สีเขียวของบริษัทใหญ่ ๆ
แต่แนวทางเหล่านี้กลับไม่ได้ท้าทายรากเหง้าของปัญหาที่แท้จริง เช่น โครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ และความไม่เท่าเทียมที่สะสมมาในระบบเศรษฐกิจโลก
ทำไมการแก้ไขปัญหาจากกรอบทุนนิยมล้มเหลว
1. “Jevons Paradox”
ระบบทุนนิยมมักเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ซึ่งในทางทฤษฎีควรจะนำไปสู่การลดการใช้ทรัพยากรโดยรวม แต่นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “Jevons Paradox” เมื่อการพัฒนาประสิทธิภาพนำไปสู่การขยายการบริโภคและการใช้งานทรัพยากรเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น การพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่แม้จะปล่อยคาร์บอนน้อยกว่ารถยนต์น้ำมัน แต่ความต้องการใช้แร่ธาตุหายากและพลังงานในการผลิตกลับเพิ่มสูงขึ้นแทน ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนโดยรวมไม่ได้ลดลงอย่างที่คาดหวังไว้
2. ความล้มเหลวของแนวคิด “Green Growth”
แนวคิดการเติบโตสีเขียว (Green Growth) ที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีใหม่จะสามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้ กลับกลายเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก (Greenwashing) แทนที่จะแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ
นอกจากนี้ การเน้น “การวัดผลการเติบโตทางเศรษฐกิจ” ด้วยตัวชี้วัดแบบดั้งเดิม เช่น GDP ยังคงทำให้การทำลายทรัพยากรธรรมชาติถูกนับรวมเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น การตัดป่าเพื่อสร้างโครงการใหญ่ๆ ที่อาจทำลายระบบนิเวศ แต่ยังคงเพิ่ม GDP ของประเทศนั้น ๆ
ตัวอย่างของแนวทางทางเลือกที่มีศักยภาพ
1. เศรษฐกิจแบบภูมิภาคชีวภาพ (Bioregional Economy)
การพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการจัดการทรัพยากรตามลักษณะภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยใช้การตัดสินใจแบบประชาธิปไตยในท้องถิ่น ตัวอย่าง เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรในรูปแบบภูมิภาคชีวภาพในชุมชนชนบท ที่เน้นการกระจายอำนาจและการจัดการร่วมกันระหว่างประชาชนในท้องถิ่น สิ่งนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารและลดการพึ่งพาการนำเข้า และสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรได้มากขึ้น
2. การฟื้นฟูเกษตรกรรมแบบ Agroecology ใน Puerto Rico
หลังพายุเฮอริเคนมาเรียในปี 2017 มีการนำแนวทางเกษตรกรรมแบบ Agroecology มาใช้ในการฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นใน Puerto Rico ซึ่งเน้นการปลูกพืชหลากหลายและการฟื้นฟูดินแบบยั่งยืน ชุมชนท้องถิ่นหลายแห่งสามารถสร้างความมั่นคงด้านอาหารได้จากการใช้เทคนิคการเกษตรแบบดั้งเดิมที่เน้นการพึ่งพาธรรมชาติแทนการพึ่งพาสารเคมี สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแนวทางการฟื้นฟูที่ไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีราคาแพงหรือการลงทุนจากภาคธุรกิจขนาดใหญ่
3. ระบบเศรษฐกิจแบบท้องถิ่นและประชาธิปไตยที่ยั่งยืน (Local and Democratic Economy)
แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ในไอซ์แลนด์หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 โดยการใช้การสร้างรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยออนไลน์ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบกฎระเบียบและการจัดการทรัพยากร ซึ่งช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบการเมืองและเศรษฐกิจหลังวิกฤตได้
การใช้รูปแบบการจัดการที่เน้นการมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่นและการแบ่งปันทรัพยากรตามความจำเป็นมากกว่าการผลิตเพื่อการค้า เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนด้วยความต้องการของชุมชนมากกว่าความต้องการของตลาดโลก
สรุป
การแก้ไขปัญหาโลกร้อนจำเป็นต้องมีการคิดนอกกรอบทุนนิยมแบบดั้งเดิม และเปลี่ยนไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ความเป็นธรรม และการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกระดับ
แนวทาง เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น การใช้ความรู้และเทคนิคเกษตรกรรมดั้งเดิม หรือการสร้างระบบการตัดสินใจแบบประชาธิปไตยในท้องถิ่น เป็นตัวอย่างที่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนและสร้างความเป็นธรรมได้อย่างแท้จริง มากกว่าการติดกรอบการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เน้นการแสวงหากำไรสูงสุด
—
แหล่งอ้างอิง
1. Resilience: Solving the Climate Crisis Requires the End of Capitalism
2. Columbia University: Climate Change Solutions: An Opportunity to Subvert Capitalism
3. Yale Environment Review: A Local, Sustainable and Democratic Economy: An Alternative to Capitalism