
การประชุม COP16 ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่จะจัดขึ้นที่เมืองคาลี ประเทศโคลอมเบีย ระหว่าง 21 ตค.- 1 พย. 2024 เป็นเวทีสำคัญสำหรับการถกเถียงเกี่ยวกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองและเกษตรกรรายย่อยในซีกโลกใต้ ซึ่งถือเป็นผู้ดูแลพื้นที่สำคัญของโลกที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ ท่าทีของเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองและเกษตรกรรายย่อยได้สะท้อนถึงความกังวลในหลายประเด็น รวมถึงการผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมที่แท้จริงในกระบวนการตัดสินใจด้านการอนุรักษ์ และการปกป้องสิทธิในนิเวศ ที่ดินและทรัพยากรของพวกเขาเอง
ประเด็นหลักและข้อกังวล
หนึ่งในข้อกังวลหลักของเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองคือเป้าหมาย “30×30” ของกรอบงาน Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework ซึ่งต้องการอนุรักษ์พื้นที่บนบกและทางน้ำ 30% ของโลกภายในปี 2030 ชนพื้นเมืองเห็นด้วยกับการอนุรักษ์ แต่มีข้อกังวลว่าแผนดังกล่าวอาจนำไปสู่การบังคับย้ายถิ่นและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของชนเผ่า Maasai ในแทนซาเนีย ที่ถูกบังคับให้ออกจากดินแดนบรรพชนเพื่อให้พื้นที่กลายเป็นเขตอนุรักษ์ และกรณีของชนเผ่า Ogiek ในเคนยา ที่ถูกย้ายออกจากป่า Mau แม้ศาลจะตัดสินว่าพวกเขามีสิทธิเหนือพื้นที่ดังกล่าวก็ตาม.
ผู้แทนชนเผ่าพื้นเมืองจากหลายภูมิภาคทั่วโลกได้ร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ในเวทีการประชุม “TRɄA World Summit on Traditional Knowledge” ที่จัดขึ้นก่อนการประชุม COP16 ที่โคลอมเบีย พวกเขาเรียกร้องให้ COP16 สร้างกลไกถาวรภายใต้กรอบของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) ที่จะรับประกันการเคารพต่อความรู้และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชนเผ่าพื้นเมือง และเสนอการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อให้สามารถดำเนินการอนุรักษ์ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ผ่านการจัดการขององค์กรอื่น ๆ ที่มักจะไม่เข้าใจบริบทของพวกเขา.
บทบาทของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองในกรอบงานการอนุรักษ์
กรอบงาน Kunming-Montreal ได้ระบุถึงสิทธิของชนพื้นเมืองใน 7 เป้าหมายจากทั้งหมด 23 เป้าหมาย โดยเฉพาะในเป้าหมายที่ 3 ซึ่งมุ่งเน้นการอนุรักษ์พื้นที่ 30% ของโลก เป้าหมายนี้ระบุว่าต้อง “เคารพและยอมรับสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น” แต่ภาษาที่ใช้ในกรอบงานยังไม่ชัดเจนพอ โดยคำว่า “เมื่อเหมาะสม” ในการกล่าวถึงสิทธิของชนพื้นเมือง ทำให้มีช่องว่างในการตีความที่อาจไม่คุ้มครองสิทธิและดินแดนของชนพื้นเมืองได้อย่างแท้จริง สิ่งนี้สร้างความกังวลว่าอาจนำไปสู่การสร้างเขตอนุรักษ์ที่เรียกว่า “เขตอนุรักษ์แบบป้อมปราการ” ซึ่งชนพื้นเมืองจะถูกบังคับให้ออกนอกพื้นที่ภายใต้ชื่อของการอนุรักษ์.
โอกาสและข้อเรียกร้องของชนเผ่าพื้นเมือง
เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองจาก 7 ภูมิภาคทั่วโลกเรียกร้องให้ COP16 พิจารณาสร้าง “หน่วยงานสนับสนุนด้านความรู้ดั้งเดิม” อย่างถาวรเพื่อเพิ่มอำนาจการมีส่วนร่วมของชนพื้นเมืองในกระบวนการตัดสินใจด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และพัฒนากลไกที่ชัดเจนในการปกป้องสิทธิของพวกเขาในระดับโลก นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการการเข้าถึงกองทุนสนับสนุนอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมา เพื่อให้ชนเผ่าพื้นเมืองและเกษตรกรรายย่อยสามารถดูแลทรัพยากรและดินแดนได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ผ่านหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศที่อาจไม่ตอบสนองความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง.
สถานการณ์และความท้าทาย
การบังคับย้ายถิ่นและการละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วโลก แม้จะมีนโยบายหรือข้อตกลงที่ระบุให้ “เคารพสิทธิของชนพื้นเมือง” การดำเนินการในความเป็นจริงมักจะขาดความชัดเจนและการบังคับใช้ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าในหลายประเทศ การขยายพื้นที่คุ้มครองเพื่อบรรลุเป้าหมาย 30×30 นั้นจะยิ่งทำให้เกิดการสูญเสียสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลความหลากหลายทางชีวภาพส่วนใหญ่ของโลกอยู่แล้ว.
ข้อสรุป
ชนเผ่าพื้นเมืองและเกษตรกรรายย่อยในซีกโลกใต้มีบทบาทสำคัญในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของโลก แต่กลับมักไม่ได้รับการยอมรับและมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจอย่างแท้จริง การประชุม COP16 จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องพิจารณาถึงกลไกและแนวทางที่จะทำให้เกิดความร่วมมืออย่างเท่าเทียม เพื่อให้การอนุรักษ์ไม่ใช่เพียงการปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่ต้องรวมถึงการปกป้องสิทธิและวิถีชีวิตของผู้ที่ดูแลสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นด้วย.
แหล่งข้อมูล:
: Cultural Survival – Road to CBD COP16: New Opportunities for Indigenous Peoples
: Cultural Survival – Looking Ahead: Indigenous Peoples’ Rights at CBD COP16
: IIFB – Indigenous Peoples and local communities seek to increase their participation in the CBD and call for support towards COP16
: Mongabay – Ahead of COP16, groups warn of rights abuses linked to ‘30×30’ goal