THAI CLIMATE JUSTICE for All

ประเมินถ้อยแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร

จากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลแพทองธารเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา เมื่อตรวจสอบจากกรอบคิดเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรม รวมถึงสิทธิมนุษยชนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง พบว่ากรอบคิดของนโยบายทั้งหมดขัดแย้งกับหลักการสำคัญดังกล่าวในหลายประเด็น ดังนี้:

1. แนวนโยบายที่เน้นเศรษฐกิจเป็นตัวนำ: นโยบายของรัฐบาลมุ่งเน้นการเร่งรัดเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยออกแบบให้ทุกองค์ประกอบของสังคม เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การดำรงชีวิต สุขภาพ การเกษตร เศรษฐกิจฐานราก และการศึกษา ทำหน้าที่เป็นปัจจัยที่เร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่สุด นโยบายเช่นนี้มองข้ามความยั่งยืนและความเป็นธรรมในระยะยาว

2. การเร่งรัดเศรษฐกิจที่เอื้อต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่: นโยบายที่เร่งรัดเศรษฐกิจไม่ได้สร้างความเข้มแข็งจากฐานราก แต่กลับส่งเสริมให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่สามารถควบคุมและผูกขาดทรัพยากรและปัจจัยทางสังคมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจในระบบหรือเศรษฐกิจนอกระบบ ตัวอย่างเช่น การนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ เช่น คาสิโน ซึ่งไม่ได้เป็นเศรษฐกิจของคนยากจน แต่เป็นเศรษฐกิจที่ถูกครอบครองโดยกลุ่มทุน นโยบายนี้เพียงแต่เปลี่ยนสีของทุนจากสีเทาเป็นสีขาวหรือสีเขียว

3. การเพิกเฉยต่อปัญหาการผูกขาดทุน: นโยบายของรัฐบาลไม่ได้กล่าวถึงปัญหาการผูกขาดทรัพยากรและโอกาสทางสังคม โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ เช่น EEC (ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) และภาคอื่น ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบรุนแรงต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และชุมชน

4. นโยบายพลังงานที่ไม่ยั่งยืน: นโยบายที่มุ่งลดราคาพลังงานมุ่งเน้นเพียงการจัดหาพลังงานราคาถูก ซึ่งยากจะบรรลุโดยเฉพาะในกรณีของพลังงานฟอสซิลที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น รัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญกับการพึ่งตนเองด้านพลังงาน ทั้งที่ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าพลังงานถึง 90% นอกจากนี้ นโยบายพลังงานหมุนเวียนยังมุ่งเน้นที่การเติบโตทางธุรกิจมากกว่าการสร้างเศรษฐกิจพลังงานหมุนเวียนสำหรับประชาชน

5. นโยบายการเกษตรที่ไม่ครอบคลุมปัญหาจริง: รัฐบาลมุ่งเน้นการพัฒนาเกษตรทันสมัยผ่านการนำเทคโนโลยี ทุน และการตลาดเข้ามาเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่ของระบบเกษตรและอาหาร อย่างไรก็ตาม ระบบห่วงโซ่เกษตรและอาหารของไทยยังถูกผูกขาดโดยทุนรายใหญ่ การพัฒนาเกษตรทันสมัยนี้จึงไม่ช่วยเกษตรกรรายย่อยอย่างแท้จริง และไม่สนับสนุนความสามารถในการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจของพวกเขา

6. การทำลายภูมิปัญญาชาวบ้านและทรัพยากรธรรมชาติ: รัฐบาลมองภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นเพียงสินค้าทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งนำไปสู่การแปรสภาพของภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นเพียงกิมมิคสำหรับการค้าขาย อีกทั้งยังมีโครงการขนาดใหญ่ที่มุ่งทำลายระบบนิเวศ ฐานทรัพยากร และสร้างมลภาวะสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ชุมชนเปราะบางขึ้น แต่ยังทำลายความสามารถของชุมชนในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของตนเอง

7. นโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ขาดความชัดเจน: รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือ คุ้มครอง หรือชดเชยความสูญเสียของประชาชนต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ ไม่มีเป้าหมายที่รับผิดชอบต่อโลกว่าประเทศไทยจะลดก๊าซเรือนกระจกในฐานะผู้ปลดปล่อยเป็นอันดับที่ 20 ของโลกภายในปี 2030 ได้อย่างไร

รัฐบาลกลับให้ความสำคัญกับการเป็นศูนย์กลางคาร์บอนเครดิตในระดับอาเซียน ซึ่งอาจนำไปสู่การกระทบต่อระบบนิเวศและละเมิดสิทธิชุมชน เอื้อต่อการฟอกเขียว และไม่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด

8. การผูกขาดอำนาจและการละเลยการกระจายอำนาจ: นโยบายของรัฐบาลยังคงส่งเสริมการผูกขาดอำนาจของรัฐและกลุ่มทุน โดยไม่ได้พิจารณาถึงการกระจายอำนาจหรือส่งเสริมการจัดการตนเองของท้องถิ่น ผลที่ตามมาคือประชาชนสูญเสียความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และทรัพยากรถูกแปรเป็นปัจจัยการผลิตภายใต้ทุนสีเทาและสีเขียว

9.ไม่มีนโยบายด้านกฎหมายหรือมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงทั้งมลภาวะโอกาสปัญหาทรัพยากร และวิถีชีวิตที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายและโครงการขนาดใหญ่ ในขณะที่เครื่องมือทางนโยบายเช่น การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กระบวนการประชาพิจารณ์และอื่นๆล้วนตกอยู่ในวังวนปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนที่ไม่สามารถเป็นเครื่องมือจัดการสิ่งแวดล้อมแต่ยิ่งขยายความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งขึ้น

แล้วประชาชนกลุ่มไหนหรือที่จะมีกินมีใช้มีศักดิ์ศรี

หรือจะเหลือแต่ประชาชนที่ยากจนยากไร้สูญเสียเกียรติและศักดิ์ศรี จากการไม่สามารถพึ่งตนเองเศรษฐกิจและสังคม ไม่สามารถธำรงรักษานิเวศ จัดการทรัพยากร ไม่สามารถรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่สามารถมีอำนาจต่อรองในการกำหนดการพัฒนาในท้องถิ่นและจังหวัดหรือประเทศได้เอง ไม่สามารถมีสิทธิและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกันในประเทศได้

เราจะเหลือแต่คนจน คนยากไร้ คนเปราะบาง คนสิ้นหวังที่หวังเพียงเงินดิจิตอลที่ไม่เป็นจริง และรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐในทุกสภาวะความเปราะบาง ความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ปัญหาโลกร้อน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคมสูงวัย ปัญหาการศึกษา ปัญหาแรงงาน ปัญหาสุขภาพและอื่น ๆ อีกมากมาย

เราจะมีความขัดแย้งที่มากขึ้นจากความสิ้นหวัง ความสูญเสีย ขณะที่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นการมีส่วนร่วมในแนวนโยบายและโครงการต่าง ๆ ก็ไม่เปิดกว้างหรือเป็นธรรมให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง

จากปัญหาทั้งหมดนี้ หลักคิดอะไรที่ขาดหายไปในนโยบายของรัฐบาลชุดนี้

นั่นก็คือ หลักสิทธิมนุษยชน ทั้งสิทธิในชีวิตที่ดี สิทธิในวัฒนธรรม สิทธิในสิ่งแวดล้อม สิทธิในอากาศที่ดี สิทธิในสุขภาพ สิทธิในอาหารที่มั่นคง สิทธิในการกำหนดการพัฒนาของตนเอง

  • ไม่มีหลักความเป็นธรรมทางนิเวศและสังคม
  • ไม่มีหลักการกระจายอำนาจ
  • ไม่มีหลักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
  • และไม่มีหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรมจากฐานราก

คงเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง

Thai Climate Justice for All

เครดิตภาพ: สำนักข่าวอิศรา

Scroll to Top