THAI CLIMATE JUSTICE for All

การเปลี่ยนกรอบความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: จากการปล่อยพลังให้สถาบันใหญ่สู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงระดับท้องถิ่น

โดย โจ บรูเวอร์

บทนำ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างไรก็ตาม โจ บรูเวอร์ (Joe Brewer) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์กรอบความคิด (frame analysis) และการออกแบบวัฒนธรรม ได้แสดงให้เห็นว่าการสนทนาเกี่ยวกับปัญหานี้มักถูกจัดกรอบในลักษณะที่ทำให้ประชาชนขาดพลัง และให้ความสำคัญกับองค์กรหรือสถาบันขนาดใหญ่แทนที่จะกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการในระดับชุมชนที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง บทความนี้จะสำรวจว่าเหตุใดกรอบความคิดดังกล่าวจึงเป็นปัญหา และเสนอแนวทางใหม่ที่ควรนำมาใช้

1. กรอบความคิดที่เป็นปัญหา

1.1 การเน้นสถาบันใหญ่เกินไป

ปัจจุบัน การสนทนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมักถูกครอบงำโดยการมุ่งเน้นไปที่สถาบันระดับชาติและนานาชาติ เช่น การประชุม COP การลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือการดำเนินการของบริษัทข้ามชาติ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมีบทบาท แต่โจชี้ให้เห็นว่าสถาบันเหล่านี้มีประวัติการล้มเหลวในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น ข้อตกลงระหว่างประเทศมักถูกลดทอนให้เป็นเพียงกรอบทางการเมืองที่ไม่ได้รับการปฏิบัติจริงในระดับท้องถิ่น

ผลที่ตามมาคือ ชุมชนและประชาชนทั่วไปไม่ได้รับแรงบันดาลใจหรือทรัพยากรที่จำเป็นในการดำเนินการเอง

1.2 กรอบทางเศรษฐกิจที่ไม่สมบูรณ์

กรอบการสนทนาส่วนใหญ่มักเชื่อมโยงกับระบบตลาด เช่น คาร์บอนเครดิต คาร์บอนออฟเซ็ต และกลไกตลาดอื่น ๆ ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดว่าการแก้ปัญหาอยู่ที่การบริหารจัดการของบริษัทใหญ่ที่ก่อมลพิษ

แม้บริษัทเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญ แต่การมุ่งเน้นไปที่ตลาดทำให้ประชาชนขาดพลังในการแก้ปัญหาเอง

ตัวอย่าง: การซื้อขายคาร์บอนเครดิตมักเป็นเพียงการ “ย้าย” การปล่อยก๊าซไปยังที่อื่น โดยไม่ได้ลดการปล่อยก๊าซจริง

1.3 มุมมองที่ลดทอนปัญหาเป็นเรื่องคาร์บอนไดออกไซด์

การสนทนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมักมุ่งเน้นที่การลดคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก โดยละเลยมิติอื่น ๆ ของระบบนิเวศ เช่น วงจรน้ำ การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ และผลกระทบทางสังคม

ตัวอย่าง: การมองว่าการปลูกป่ามีประโยชน์เพียงเพราะช่วยกักเก็บคาร์บอน แต่ไม่ได้คำนึงถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศโดยรวม

2. กรอบความคิดใหม่ที่ควรนำมาใช้

2.1 การมองปัญหาในฐานะ “ภาวะซับซ้อน” (Predicament)

โจเสนอให้มองปัญหาสภาพภูมิอากาศว่าเป็น “ภาวะซับซ้อน” มากกว่าจะเป็นปัญหาที่มีวิธีแก้เดียว ระบบนิเวศเป็นระบบที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน หากแก้ปัญหาเพียงจุดเดียว อาจก่อให้เกิดปัญหาใหม่ในจุดอื่น

ตัวอย่าง: การสร้างเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานสะอาดอาจเพิ่มความต้องการแร่ธาตุที่ต้องขุดจากพื้นที่ชนบท ส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น

2.2 การให้ความสำคัญกับระบบนิเวศโดยรวม

แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงคาร์บอน เราควรให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูระบบนิเวศ เช่น การเพิ่มความสมบูรณ์ของดิน การฟื้นฟูวงจรน้ำ และการปลูกป่าที่สนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพ

ตัวอย่าง: การฟื้นฟูแหล่งน้ำในท้องถิ่นและป่าชุมชนสามารถสร้างความสมดุลในระดับภูมิภาคได้

2.3 การสร้างพลังในระดับท้องถิ่น

โจเสนอให้เปลี่ยนกรอบความคิดไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับท้องถิ่น ซึ่งประชาชนสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น

การสนับสนุนชุมชนให้มีทรัพยากรและเงินทุนสำหรับฟื้นฟูระบบนิเวศ

การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงฟื้นฟู (Regenerative Economy) ในท้องถิ่น เช่น การปลูกป่าอาหาร การฟื้นฟูแหล่งน้ำ

3. ตัวอย่างจากโคลอมเบีย: การเปลี่ยนกรอบความคิดสู่การปฏิบัติ

โจทำงานที่ป่าชุมชน Bioparque Móncora ในโคลอมเบีย โดยเขาชี้ให้เห็นว่าการฟื้นฟูป่าชุมชนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

  • การศึกษาเด็กในชุมชน: เด็กเรียนรู้เทคนิคการปลูกป่าและฟื้นฟูแหล่งน้ำ
  • การสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น: การพัฒนาระบบเกษตรผสมผสาน เช่น ป่าอาหาร ที่ช่วยลดการพึ่งพาองค์กรใหญ่
  • การเปลี่ยนวัฒนธรรมท้องถิ่น: ชุมชนมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูธรรมชาติและลดความขัดแย้ง

บทสรุป: การสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก

การเปลี่ยนกรอบความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างพลังให้ประชาชนและชุมชนท้องถิ่น กุญแจสำคัญคือการฟื้นฟูระบบนิเวศในระดับท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการจัดการฐานรากแทนที่จะพึ่งพาสถาบันขนาดใหญ่ หากเราสามารถเปลี่ยนกรอบความคิดนี้ได้ เราจะสามารถสร้างโลกที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้นสำหรับทุกคน

Scroll to Top