
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ หรือความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ แนวคิด Nature Positive ได้ถูกเสนอเป็นแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการหยุดยั้งและฟื้นฟูธรรมชาติให้ดียิ่งกว่าระดับปัจจุบัน
แม้แนวคิดนี้จะดูเป็นความหวังใหม่ในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม แต่หากขาดการคำนึงถึง ความเป็นธรรมด้านนิเวศน์และสังคม การดำเนินโครงการ Nature Positive อาจสร้างปัญหาทางสังคมและเพิ่มความเหลื่อมล้ำมากกว่าที่จะแก้ไขปัญหาเดิมได้
Nature Positive คืออะไร?
แนวคิด Nature Positive เกิดขึ้นจากความพยายามของนักวิทยาศาสตร์และองค์กรสิ่งแวดล้อมระดับโลกที่ต้องการหยุดยั้งการสูญเสียธรรมชาติภายในปี 2030 และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050 แนวทางนี้มีการกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจน เช่น
1. Zero Net Loss – หยุดการสูญเสียพื้นที่ธรรมชาติภายในปี 2020
2. Net Positive – เพิ่มพื้นที่ธรรมชาติภายในปี 2030
3. Full Recovery – ฟื้นฟูธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2050
แต่การมุ่งเน้นเป้าหมายเชิงปริมาณเหล่านี้ หากปราศจากมิติด้านสิทธิชุมชนและความเป็นธรรม อาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคมที่รุนแรงขึ้น
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากขาดมิติเรื่องสิทธิชุมชนและความเป็นธรรม
1. การผลักภาระให้กับชุมชนเปราะบาง
โครงการฟื้นฟูธรรมชาติที่ไม่มีการคุ้มครองสิทธิของชุมชนท้องถิ่น อาจทำให้ชุมชนเหล่านี้ต้องสูญเสียที่ดินทำกินหรือแหล่งทรัพยากรที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต เช่น การประกาศเขตป่าอนุรักษ์ที่นำไปสู่การขับไล่ชาวบ้านโดยไม่คำนึงถึงวิถีชีวิตของพวกเขา
กรณีศึกษา:
ในบางประเทศในแอฟริกา ชนเผ่าพื้นเมืองต้องถูกขับไล่ออกจากพื้นที่อนุรักษ์ โดยไม่มีการจัดหาที่อยู่อาศัยหรือสิทธิในการทำกินทดแทน ส่งผลให้พวกเขาต้องเผชิญกับความยากจนและการสูญเสียวิถีชีวิตดั้งเดิม
2. ความไม่เป็นธรรมในการแบ่งปันผลประโยชน์
หากโครงการ Nature Positive ไม่มีกลไกการกระจายผลประโยชน์ที่เป็นธรรม ชุมชนที่มีบทบาทในการดูแลรักษาธรรมชาติอาจไม่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าว ขณะที่ภาคธุรกิจหรือประเทศร่ำรวยอาจเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากตลาดคาร์บอนหรือโครงการชดเชยคาร์บอน
ข้อมูลสนับสนุน:
รายงานของ World Economic Forum ระบุว่าโครงการ Nature Positive อาจสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้ถึง 10.1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และสร้างงานใหม่กว่า 395 ล้านตำแหน่ง ภายในปี 2030 แต่หากผลประโยชน์เหล่านี้กระจุกตัวอยู่ที่ภาคธุรกิจหรือประเทศที่พัฒนาแล้ว จะยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
3. การละเลยการมีส่วนร่วมของชุมชน
การฟื้นฟูธรรมชาติที่ไม่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ อาจทำให้โครงการขาดความยั่งยืนและไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ชุมชนอาจรู้สึกว่าถูกกีดกันจากกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับที่ดินและทรัพยากรของพวกเขา
4. การเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางสังคม
หากโครงการ Nature Positive มุ่งเน้นเพียงการฟื้นฟูธรรมชาติโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคม อาจทำให้กลุ่มคนที่เปราะบางต้องเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น เช่น การสูญเสียที่ดินหรือแหล่งรายได้จากการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของหลายชุมชนในประเทศกำลังพัฒนา
ข้อจำกัดของกลไกตลาดในโครงการ Nature Positive
1. การเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศ
ประเทศร่ำรวยสามารถซื้อสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลงทุนในโครงการฟื้นฟูธรรมชาติในประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องแบกรับภาระในการฟื้นฟูธรรมชาติโดยไม่ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม
2. การแปรธรรมชาติเป็นสินค้า (Commodification of Nature)
การใช้กลไกตลาดอาจนำไปสู่การแปรธรรมชาติเป็นสินค้า ซึ่งขัดกับแนวคิดการอนุรักษ์ที่ควรเน้นการดูแลธรรมชาติในฐานะส่วนหนึ่งของระบบชีวิต
ตัวอย่าง:
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดพบว่าโครงการตลาดคาร์บอนในบางพื้นที่ เช่น บราซิลและอินโดนีเซีย ส่งผลให้ชาวบ้านต้องเสียสิทธิในการใช้ประโยชน์จากป่าและที่ดิน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถูกกันไว้สำหรับการขายคาร์บอนเครดิตให้กับบริษัทข้ามชาติ
ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข
1. การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น
ควรให้ชุมชนมีบทบาทในการตัดสินใจและดำเนินโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการสอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิตของพวกเขา
2. การรับรองสิทธิชุมชน
ควรมีกฎหมายหรือมาตรการที่รับรองสิทธิของชุมชนในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม
3. การกระจายผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม
ควรมีกลไกที่รับประกันว่าชุมชนจะได้รับส่วนแบ่งที่เหมาะสมจากผลประโยชน์ที่เกิดจากโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น การจ่ายค่าตอบแทนการดูแลระบบนิเวศ (PES)
4. การประเมินผลกระทบทางสังคมควบคู่กับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
โครงการ Nature Positive ควรมีการประเมินผลกระทบทั้งทางสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อป้องกันการเพิ่มความเหลื่อมล้ำและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับชุมชน
บทสรุป: ธรรมชาติและมนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล
แนวคิด Nature Positive จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีการบูรณาการความเป็นธรรมด้านนิเวศน์และสังคมเข้าไปในทุกขั้นตอนของการอนุรักษ์ธรรมชาติ การฟื้นฟูธรรมชาติไม่ควรเป็นเพียงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ควรเป็นกระบวนการที่ช่วยสร้างความยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย
ในท้ายที่สุด การสร้างโลกที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการยอมรับว่า ธรรมชาติและมนุษย์คือส่วนหนึ่งของระบบเดียวกัน เราจึงต้องออกแบบนโยบายและแนวทางการพัฒนาที่คำนึงถึงความเป็นธรรมในทุกมิติ เพื่อให้ทั้งธรรมชาติและมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและยั่งยืน