
บทนำ: เราให้ค่ากับอะไรในโลกนี้?
ในโลกปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change ได้รับความสนใจจากรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศอย่างล้นหลาม มีการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลก เช่น ข้อตกลงปารีสและเป้าหมาย Net Zero ทุกประเทศแข่งขันกันสร้างนโยบายด้านพลังงานสะอาด และผลักดันตลาดคาร์บอนเครดิตเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน
แต่ในขณะเดียวกัน “ความหลากหลายทางชีวภาพ” กลับเป็นประเด็นที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง แม้การสูญเสียพันธุ์พืชและสัตว์จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของโลก และในระยะยาวย่อมส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำถามคือ ทำไมประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ถึงไม่ได้รับความสำคัญเทียบเท่ากับ Climate Change?
คำตอบอาจอยู่ที่วิธีที่มนุษย์มองโลก — เรามองโลกจากมุมมองของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
1. การมองโลกแบบ Anthropocentrism: โลกที่หมุนรอบมนุษย์
- แนวคิด “Anthropocentrism” หรือ “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” เป็นรากฐานของอารยธรรมมนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน เรามองธรรมชาติเป็น ทรัพยากร ที่มีไว้เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ เราตัดไม้ทำลายป่าเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย เราเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์เพื่อการบริโภค และเราดัดแปลงธรรมชาติเพื่อเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจ
- ในมุมมองนี้ สิ่งที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรงจะถูกมองข้าม
การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น การสูญพันธุ์ของเสือโคร่ง หรือการล่มสลายของแนวปะการัง อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว และไม่กระทบชีวิตประจำวันของผู้คน - แต่ในความเป็นจริง ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์
ระบบนิเวศที่สมดุลช่วยให้มีแหล่งอาหาร น้ำสะอาด และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต หากระบบนิเวศล่มสลาย มนุษย์ย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2. ทำไม Climate Change ถึงได้รับความสำคัญมากกว่า?
- ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้รับความสนใจมากกว่า เพราะผลกระทบ ชัดเจนและวัดผลได้
- อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น
- การเกิดพายุ น้ำท่วม และไฟป่า
- ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
- สิ่งเหล่านี้เป็นภัยคุกคามที่มองเห็นได้และส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในทันที จึงทำให้รัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศต้องเร่งแก้ไขเพื่อ ปกป้องผลประโยชน์ของมนุษย์
- ในทางกลับกัน การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็น กระบวนการที่เกิดขึ้นช้าและซับซ้อน เช่น การสูญพันธุ์ของสัตว์บางชนิด หรือการลดลงของพันธุ์พืชพื้นเมือง ซึ่งยังไม่เห็นผลกระทบโดยตรงในระยะสั้น
3. การเมืองระหว่างประเทศกับประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ
- ในเวทีโลก ประเด็น Climate Change ได้รับการผลักดันอย่างหนัก เพราะ มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแฝงอยู่
- การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด เช่น โซลาร์หรือพลังงานลม เปิดโอกาสให้ประเทศพัฒนาแล้วสามารถสร้างตลาดและเทคโนโลยีใหม่
- ตลาดคาร์บอนเครดิตกลายเป็น ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีเงินหมุนเวียนมหาศาล
- แต่ในประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับไม่ชัดเจน
- การอนุรักษ์ป่าไม้หรือสัตว์ป่าอาจถูกมองว่า เป็นต้นทุน มากกว่าผลกำไร
ประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการขยายพื้นที่เกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรม อาจมองว่า การอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การเจรจาในที่ประชุมของ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) มักติดขัดเพราะ ประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนามีมุมมองที่แตกต่างกัน
ประเทศพัฒนาแล้วเรียกร้องให้ประเทศกำลังพัฒนารักษาความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ประเทศกำลังพัฒนากลับมองว่า การอนุรักษ์คือ การจำกัดการพัฒนาเศรษฐกิจ
4. ตัวอย่างผลกระทบจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
แม้การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพจะดูเหมือนเป็นปัญหาของธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงกลับส่งผลกระทบต่อมนุษย์ในหลายด้าน เช่น:
การแพร่ระบาดของโรค: การทำลายป่าทำให้สัตว์ป่าต้องเข้ามาใกล้ชุมชนมนุษย์มากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงของโรคระบาด เช่น COVID-19
ความมั่นคงทางอาหาร: การลดลงของแมลงผสมเกสร เช่น ผึ้ง ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง และกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร
เศรษฐกิจท้องถิ่น: ชุมชนที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าชายเลน แนวปะการัง จะสูญเสียรายได้หากระบบนิเวศถูกทำลาย
5. ข้อเสนอ: เปลี่ยนจาก Anthropocentrism สู่ Ecocentrism
หากต้องการให้ประเด็น Biodiversity Justice ได้รับความสำคัญเทียบเท่ากับ Climate Justice จำเป็นต้องเปลี่ยนกรอบคิดจาก “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” (Anthropocentrism) ไปสู่ “ธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง” (Ecocentrism)
เราต้องยอมรับว่า มนุษย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ไม่ใช่ผู้ควบคุมหรืออยู่เหนือธรรมชาติ และการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพคือการ ปกป้องรากฐานของชีวิตมนุษย์ในระยะยาว
บทสรุป: เราจะยอมรับความสำคัญของธรรมชาติเมื่อสายเกินไปหรือไม่?
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้รับความสนใจเพราะส่งผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรง แต่ประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพกลับถูกละเลยเพราะยังไม่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามที่เร่งด่วน
คำถามคือ เราจะรอให้ธรรมชาติล่มสลายจนกระทบต่อมนุษย์โดยตรงก่อนหรือไม่?
หรือเราจะเริ่มตระหนักว่า การปกป้องธรรมชาติก็คือการปกป้องมนุษย์เอง