THAI CLIMATE JUSTICE for All

ความ(ไม่)เป็นกลางทางคาร์บอน : ผลกระทบคาร์บอนเครดิตป่าไม้ต่อสิทธิและการดำรงชีพของชุมชนในเขตป่า[1]

ความ(ไม่)เป็นกลางทางคาร์บอน:
ผลกระทบคาร์บอนเครดิตป่าไม้ต่อสิทธิและการดำรงชีพของชุมชนในเขตป่า[1]

สุรินทร์ อ้นพรม, PhD (นักวิจัยอิสระ)

บทนำ

“รัฐบาลจะส่งเสริมแนวทางที่สร้างรายได้จากผืนดินและส่งเสริมสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน โดยกำหนดให้มีสัดส่วนการปลูกไม้ยืนต้นให้เหมาะสมกับประเภท และลักษณะของพื้นที่ และส่งเสริมให้เจ้าของที่ดินหรือชุมชนโดยรอบได้รับประโยชน์จากการเพิ่มพูนของระบบนิเวศ การขายคาร์บอนเครดิตอย่างยุติธรรม และได้รับการยอมรับจากระดับสากล”

(คำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี, 2566)

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566  รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาว่ารัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายในการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวให้ได้ร้อยละ 55 ของพื้นที่ประเทศ หรือประมาณ 177,940,784 ไร่ แบ่งออกเป็น พื้นที่ป่าธรรมชาติ ร้อยละ 35 พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ร้อยละ 15 และพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชนบท ร้อยละ 5 จากถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้พื้นที่สีเขียวกลายมาเป็นนโยบายและวาทกรรมของรัฐและสร้างความชอบธรรมให้กับการปลูกป่า เพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยอ้างเหตุผลว่าต้องการลดโลกร้อน ทั้งนี้ รัฐมักจะอ้างเสมอว่าการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการลงทุนทางสิ่งแวดล้อมนอกจากจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศแล้วยังจะก่อให้เกิดความยั่งยืนและสามารถต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปพร้อมกัน ในอีกด้านหนึ่ง ภาคประชาสังคมและเครือข่ายภาคประชาชนมองว่า วาทกรรมดังกล่าวสร้างความชอบธรรมและเอื้อให้กลุ่มทุนเข้าไปแย่งยึดทรัพยากรซึ่งเป็นสมบัติส่วนรวมให้กลายเป็นสินทรัพย์ของทุนสำหรับการสร้างกำไรและความมั่งคั่งต่อไป

นับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา การขับเคลื่อนนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ของรัฐไทยเน้นกลไกการสร้างแรงจูงใจทางการเงินและใช้กลไกตลาดคาร์บอนอย่างเข้มข้น มีการก่อตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารจัดการและพัฒนาระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต และในเวลาต่อมา อบก. ได้พัฒนากลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจภายใต้แพลตฟอร์มที่รู้จักกันในนาม T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction) โดยในประเทศไทยนั้นการซื้อขายคาร์บอนเครดิตถูกนำเสนอในฐานะกลไกสร้างแรงจูงใจทางการเงินในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ อนุญาตให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่านการ “แลกเปลี่ยน” หรือ “ชดเชย” คาร์บอนเครดิตระหว่างหน่วยงาน ระหว่างธุรกิจ หรือระหว่างรัฐบาล โดยมีความยืดหยุ่นและสะดวกกว่าตลาดภาคบังคับซี่งต้องมีกฎหมายและมาตรการต่างๆ ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด การพึ่งพากลไกตลาดคาร์บอนอย่างเข้มข้นและเป็นกลไกหลักเพียงกลไกเดียวในการแก้ปัญหาโลกร้อนสะท้อนเจตจำนงทางการเมืองที่บิดเบี้ยวของรัฐไทยที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและเอื้อให้กลุ่มทุนอุตสาหกรรมฟอสซิลสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ต่อไปตราบเท่าที่ยังจัดหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซของธุรกิจ

ในแง่หนึ่ง ความบิดเบี้ยวของนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทั้งในระดับโลกและในประเทศไทยสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างรวมถึงความสมดุลของอำนาจในการเจรจา ผลการประชุมสมาชิกภาคีสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแต่ละครั้ง (การประชุม COP) แสดงให้เห็นความจริงเชิงประจักษ์ว่ากลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลยังคงยืนกรานและยึดจุดยืนที่จะปกป้องผลประโยชน์และอุตสาหกรรมฟอสซิลของตนเอง การเจรจาในเวทีระดับโลกมักลงเอยด้วยการประนีประนอม สร้างวาทกรรมและกระทำกันแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่เคยมีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมที่จะยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งเป็นต้นตอของก๊าซเรือนกระจกสาเหตุหลักของปัญหาโลกร้อน ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ กลุ่มทุนอุตสาหกรรมฟอสซิลเหล่านี้ยังพยายามเสนอแนวทางการค้าคาร์บอนและใช้กลไกตลาดและราคาคาร์บอนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  

มีงานศึกษาจำนวนมากขึ้นที่ชี้ให้เห็นว่า การชดเชยคาร์บอนนอกจากไม่ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แหล่งกำเนิดแล้วยังอาจไปซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำทางนิเวศและสังคมที่เป็นอยู่ให้รุนแรงมากขึ้น เราต่างตระหนักดีว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติ และสร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อต่อสุขภาพ แหล่งพลังงาน และระบบการผลิตอาหารของมนุษย์อย่างรุนแรง ประเด็นที่น่าเศร้าใจก็คือ ชุมชนท้องถิ่นและคนยากจนซึ่งมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากอยู่แล้วกลายเป็นผู้ที่จะได้รับผลกระทบและต้องแบกรับต้นทุนสูงกว่ากลุ่มคนอื่นในสังคม ทั้งที่ในความเป็นจริงพวกเขาคือผู้ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมีส่วนก่อปัญหาโลกร้อนน้อยที่สุด ในระยะเวลาเกือบศตวรรษที่ผ่านมาคนท้องถิ่น คนยากจน ถูกทำให้กลายเป็นคนชายขอบจากนโยบายการพัฒนาและการอนุรักษ์ของรัฐ สิทธิในการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรของพวกเขาถูกลิดดรอนจากนโยบายการอนุรักษ์ป่าของรัฐ ต้นทุนการดำรงชีพของพวกเขาถูกจำกัดด้วยกฎหมาย กฎระเบียบและมาตรการต่างๆ ของรัฐ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำที่แป็นอยู่ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น

บทความนี้ต้องการนำเสนอให้เห็นถึงตัวแสดง กลไกและปฏิบัติการ รวมถึงผลกระทบของโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้ต่อสิทธิและการดำรงชีพของชุมชนในเขตป่า แสดงให้เห็นว่าโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้เอื้อให้กลุ่มทุนและภาคธุรกิจเอกชนเข้าไปครอบครอง และแย่งยึดที่ดินของชุมชนในการจัดหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจอย่างไร รวมถึงยังต้องการนำเสนอข้อค้นพบเบื้องต้นเกี่ยวกับความเสี่ยงและข้อจำกัดในการเข้าถึงและการอ้างสิทธิในทรัพยากรของชุมชน ส่วนสุดท้ายของบทความจะนำเสนอกลไกอื่นๆ ที่ไม่อิงตลาดคาร์บอนในฐานะทางรอดเพื่อความเป็นธรรมทางสังคมและนิเวศ

ป่าคือแหล่งกักเก็บคาร์บอน: ปฏิบัติการเพิ่ม “พื้นที่สีเขียว” ของเครือข่ายคาร์บอนเครดิต

รัฐไทยในฐานะภาคีสหประชาชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ประกาศเจตนารมย์ที่ต้องการจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2065 ซึ่งเป็นไปตามกรอบของข้อตกลงปารีส ในแผนระยะยาวการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสมัครใจนั้น ประเทศไทยต้องการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 40 หรือประมาณ 222 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การปรับเปลี่ยนเป้าหมายจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 40 เป็นนัยยะว่าประเทศไทยให้คำมั่นสัญญาต่อประชาคมโลกว่าต้องการรับผิดชอบในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติรัฐไทยกลับเตรียมนโยบายและยุทธศาสตร์การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ครอบคลุมพื้นที่ ร้อยละ 25 ของพื้นที่ประเทศภายในปี 2580 เพื่อให้เป็นพื้นที่ดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวน 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นั่นหมายความว่าพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ป่าไม้จะกลายเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกและทำให้รัฐไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนโดยไปลดจากภาคส่วนอีกประมาณ 100 ล้านตันคาร์บอนเท่านั้น

ย้อนกลับไปในตอนต้นทศวรรษ 2560 รัฐบาล คสช. ได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.​2561 – 2580) กับดักของยุทธศาสตร์ชาติแบบอำนาจนิยมก็คือการสร้างวาทกรรม “สีเขียว” และหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักคือ การพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเติบโตสีเขียวอย่างยั่งยืน แต่เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดของยุทธศาสตร์นี้จะพบว่า วาทกรรมการเติบโตสีเขียวเปิดช่องและเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนหรือบริษัททุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนในโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับกับสิ่งแวดล้อมเพื่อลดปัญหาโลกร้อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการพลังงานสะอาด โครงการปลูกป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนเครดิต Green bond พันธบัตรป่าไม้ หรือโครงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรและวัฒนธรรม เป็นต้น โดยรัฐบาลอ้างว่า โครงการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศและสามารถช่วยแก้ปัญหาเรื่องโลกร้อน แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พยายามขับเน้นวาทกรรมสีเขียวและการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การขับเคลื่อนทางนโยบายทำให้เกิดปฏิบัติการที่เรียกว่า nature-based solution หรือการลงทุนสีเขียว การปลูกป่าเพื่อลดโลกร้อน โดยมีรัฐเป็นผู้คอยอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนในพื้นที่ป่าซึ่งเป็นสมบัติร่วมของคนทั้งชาติ

การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ร้อยละ 55 ของพื้นที่ประเทศ เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติและกลายมาเป็นภารกิจหลักของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ภายใต้สังกัดกระทรวงฯ เมื่อส่องเข้าไปดูแผนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจะพบว่า รัฐแบ่งพื้นที่สีเขียวออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ พื้นที่ป่าธรรมชาติ ร้อยละ 35 พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ร้อยละ 15 และพื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบท ร้อยละ 5 ซึ่งพื้นที่สีเขียวแต่ละประเภทมีสภาพและความสมบูรณ์แตกต่างกันและรัฐมีแผนในการปลูกฟื้นฟูที่แตกต่างกัน เช่น ในพื้นที่ป่าธรรมชาติ จากข้อมูลที่รัฐนำเสนอพบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าธรรมชาติหลงเหลืออยู่ประมาณ 102 ล้านไร่ และรัฐต้องการปลูกเพิ่มเติมอีกประมาณ 11 ล้านไร่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ในขณะที่รัฐต้องการปลูกเพิ่มป่าเศรษฐกิจอีกประมาณ 16 ล้านไร่ เป็นต้น (รายละเอียด ดังตารางที่ 1)

ตารางที่ 1 นโยบายการเพิ่มพื้นที่สีเขียวร้อยละ 55

ประเภทพื้นที่สีเขียวเป้าหมาย
(ล้านไร่)
พื้นที่ปัจจุบัน (ล้านไร่)ปลูกเพิ่ม (ล้านไร่)
ป่าธรรมชาติ (35%)113.23102.0411.19
ป่าเศรษฐกิจ (15%)48.52  32.6515.87
พื้นที่สีเขียวในเมืองและชนบท (5%)16.1713.173.00
รวมทั้งหมด177.92147.8630.06

ในการบรรลุเป้าหมายเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 120 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี ค.ศ. 2037 รัฐไทยจึงกำหนดยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมและดึงให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคธุรกิจเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนการปลูกฟื้นฟูป่าทั้งป่าธรรมชาติ ป่าเศรษฐกิจในพื้นที่ของรัฐ รวมถึงพื้นที่ชุมชนทั้งในเมืองและชนบท โดยรัฐคอยทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกทั้งในเรื่องกฎหมาย ระเบียบ และแนวปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานภายนอกสามารถเข้ามาเป็นผู้ดำเนินโครงการและสามารถรับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากโครงการอย่างชอบธรรม เช่น ในปี 2565 มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยรัฐอ้างว่า การจัดทำบันทึกข้อตกลงนี้เพื่อส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและป่าอย่างยั่งยืน ให้เป็นแหล่งกักเก็บก๊าซเรือนกระจก สร้างแรงจูงใจให้ชุมชนดูแลรักษาป่า ร่วมกับการเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอนตามขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติ โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จะดำเนินโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ที่ได้รับความเห็นชอบจากกรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงการรับรองคาร์บอนเครดิตภายใต้การกำกับดูแลของ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้การนำของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ในขณะนั้นได้จัดกิจกรรมเปิดตัวป่าชุมชนแห่งแรกเพื่อการซื้อขายคาร์บอนเครดิตขึ้นที่ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จังหวัดเพชรบุรี โดยกรมป่าไม้และเครือข่ายตลาดคาร์บอนภาคป่าไม้พยายามนำเสนอและผลักดันให้ป่าชุมชนแห่งนี้เป็นต้นแบบหรือโมเดลการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน โดยกรมป่าไม้ร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จัดทำโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้ในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง โดยมีคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บริษัท ราชกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง เข้ามาสนับสนุนในกระบวนการพัฒนาโครงการ ทั้งนี้ รัฐและหน่วยงานเครือข่ายคาร์บอนเครดิตเชื่อว่าป่าชุมชนบ้านโค้งตาบางจะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าตลอดจนมีการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอน (https://greennews.agency/?p=32099) นอกจากนี้ รัฐยังต้องการขยายไปยังป่าชุมชนแห่งอื่นๆ จากข้อมูลของกรมป่าไม้ พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดตั้งป่าชุมชนแล้ว 12,117 แห่งทั่วประเทศ โดยรักษาพื้นที่ป่าได้ 6.64 ล้านไร่ รัฐเชื่อว่าหากดำเนินโครงการป่าคาร์บอนครอบคลุมทุกพื้นที่จะสามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 6.27 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี 

ในขณะเดียวกัน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในฐานะเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการทรัพยากร ป่าชายเลน มีการออกระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการปลูก และบำรุงป่าชายเลน พ.ศ. 2564 ระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอน เครดิตที่ได้จากการปลูกและบำรุงป่าชายเลน สำหรับบุคคลภายนอก พ.ศ. 2565 ระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูกและบำรุงป่าชายเลน สำหรับชุมชน พ.ศ. 2565 และได้จัดทำคู่มือการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต พ.ศ. 2565 เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ความรับผิดชอบของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ดำเนินการร่วมกับบุคคลภายนอกและชุมชนท้องถิ่น หรือชุมชนชายฝั่ง (ผู้พัฒนาโครงการ) ที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐาน ของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นผู้ให้คำแนะนำและรับผิดชอบในการประเมินคาร์บอนเครดิต โดยทาง ทช. อ้างว่าการดำเนินโครงการจะเป็นการส่งเสริมและจูงใจให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างสมัครใจ และส่งเสริมให้มีการปรับตัวเพื่อมุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ อีกทั้งเป็นการช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนที่ถูกบุกรุกหรือเสื่อมโทรมให้กลับคืนสภาพเป็นป่าชายเลนที่มีระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์ในระยะเวลาอันสั้น โดยลดการพึ่งพางบประมาณ จากภาครัฐในการดำเนินโครงการ ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พบว่าประทเศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนที่สมบูรณ์คงสภาพอยู่ 1.73 ล้านไร่ โดยมีเป้าหมายในการดำเนินงานเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนจำนวน 300,000 ไร่ ครอบคลุม 23 จังหวัด ในระยะเวลา 10 ปี เริ่มจากปี พ.ศ.2565 เป็นต้นไป

หากมองย้อนถึงที่มาที่ไปของแนวคิดการปลูกฟื้นฟูป่าชดเชยคาร์บอนหรือ “ป่าคาร์บอน” พบว่า แนวคิดการปลูกป่าชดเชยคาร์บอนถูกเผยแพร่ครั้งแรกในการประชุมรัฐภาคีสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อปี พ.ศ. 2537 ที่ประชุมได้บรรลุกรอบตกลงร่วมที่เรียกว่า “พิธีสารเกียวโต” (Kyoto Protocol) ภายใต้พิธีสารนี้ได้กำหนดให้มีกลไกการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตเพื่อช่วยเหลือให้ประเทศอุตสาหกรรมบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งในกลไกที่ถูกพัฒนาและมีผลบังคับใช้ก็คือ กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนานำคาร์บอนเครดิตที่ลดได้และได้รับการรับรองไปขายให้กับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่ต้องมีพันธกิจในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกตามอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ทั้งนี้ ภายใต้โครงการ CDM ก็มีโครงการย่อยอีกหลากหลายประเภทซึ่งรวมถึงโครงการปลูกและฟื้นฟูป่าเพื่อชดเชยคาร์บอน และนั่นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นการซื้อขายคาร์บอนเครดิตป่าไม้

กลุ่มผู้สนับสนุนแนวคิดการปลูกฟื้นฟูป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนสมาทานต่อแนวคิดและวาทกรรม “ป่าคือแหล่งกักเก็บคาร์บอน” หรือ forests as a carbon sink พวกเขาต้องการกระตุ้นให้สังคมสนใจและเห็นความสำคัญของป่าในฐานะทุนธรรมชาติเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน และต้องการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนปลูกและฟื้นฟูป่าเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นแหล่งดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ กลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดนี้ยังพยายามนำเสนอผลกระทบของการตัดไม้ทำลายป่า โดยชี้ให้เห็นว่าป่าอาจกลายเป็นแหล่งปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศหากไม่มีการจัดการและอนุรักษ์ที่เหมาะสม จากแนวคิดดังกล่าวทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนเชื่ออย่างสนิทใจว่าการปลูกฟื้นฟู และการอนุรักษ์ป่าคือกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างเพิกเฉยหรือแสร้งทำไม่เห็นปัญหาความยัดแย้งและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรป่าไม้ ในประวัติศาสตร์การป่าไม้ของสังคมไทย ชุมชนท้องถิ่นในเขตป่าเป็นผู้ถูกกระทำและถูกเบียดขับออกจากถิ่นฐานบ้านเกิด ถูกขับไล่ออกจากที่ดินและพื้นที่ทำกินของตนเองจากนโยบายการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าของรัฐ แน่นอนว่าพื้นที่ป่าที่รัฐจะนำมาปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์นั้นคงหนีไม่พ้นพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัยของชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเท่ากับว่ารัฐไทยกำลังใจวาทกรรมพื้นที่สีเขียวและปลูกป่าลดโลกร้อนมาสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งกับชุมชนท้องถิ่นและกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตป่าอีกระลอกหนึ่ง

คาร์บอนเครดิตป่าไม้: การแปลงธรรมชาติเป็นสินทรัพย์ของทุน

รัฐและเครือข่ายคาร์บอนเครดิตอ้างว่าตลาดคาร์บอนหรือตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีศักยภาพในการบรรเทาผลกระทบจากสภาวะโลกเดือด ซึ่งกลไกตลาดนี้สามารถช่วยให้การลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิลดลงด้วยต้นทุนการลดที่ต่ำที่สุดและยังช่วยแก้ปัญหาผลกระทบภายนอกเชิงลบโดยทำให้ผู้ที่ก่อมลพิษ หรือ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีต้นทุนในปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ ต้องบรรเทา หรือ ชดเชยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับโลกและผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วยการทำให้การปล่อย หรือ การลดก๊าซเรือนกระจกมีราคา และตลาดคาร์บอนจะเป็นแพลตฟอร์มในการซื้อขาย แลกเปลี่ยน “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งกลไกตลาดจะทำให้เกิดจุดดุลยภาพทำให้การลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิลดลงด้วยต้นทุนการลดที่ต่ำที่สุดในท้ายที่สุด

ในระดับสากล ตลาดคาร์บอนเริ่มเข้ามามีบทบาทชัดเจนและขยายผลอย่างต่อเนื่องในระดับสากลทั้งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา สืบเนื่องจากพิธีสารโตเกียวซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ที่กำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนในปีพ.ศ. 2533 ทั้งนี้ ประเทศกำลังพัฒนาสามารถมีส่วนร่วมให้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมบรรลุเป้าหมายดังกล่าวโดยการเข้าร่วมการชดเชยคาร์บอนภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) ต่อมา ที่ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติสมัยที่ 21 (COP 21) ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้รับรองความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558 โดยเป็นตราสารกฎหมายที่รับรองภายใต้กรอบอนุสัญญา UNFCCC ฉบับล่าสุด ต่อจากพิธีสารเกียวโต และข้อแก้ไขโดฮา เพื่อกำหนดกฎกติการะหว่างประเทศที่มีความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นสำหรับการมีส่วนร่วมของภาคีในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  โดยความตกลงปารีสมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 วัตถุประสงค์หลักของความตกลงปารีส คือ เพื่อมุ่งเสริมสร้างการตอบสนองระดับโลกต่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและความพยายามในการขจัดความยากจน

การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเริ่มมีการดำเนินการนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ได้พัฒนาโครงการชดเชยคาร์บอน หรือ Thailand Carbon Offsetting Programme (T-COP) เพื่อส่งเสริมให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรม ทำกิจกรรมชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยทาง อบก. อ้างว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และเพื่อสร้างอุปสงค์คาร์บอนเครดิตจากโครงการ CDM และโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction : T-VER) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศ ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการ T-VER ภาคป่าไม้เพื่อขายคาร์บอนเครดิต สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ตามเงื่อนไขและระเบียบที่กำหนดโดย อบก. ขั้นตอนแรก การขึ้นทะเบียนโครงการของผู้ที่ต้องการขายคาร์บอนเดครดิตจากพื้นที่ป่าทั้งป่าธรรมชาติ หรือสวนป่า ขั้นตอนที่สอง การรับรองคาร์บอนเครดิต เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่ขึ้นทะเบียนกับ อบก. ในการตรวจประเมินและรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิต และขั้นตอนสุดท้ายคือ การซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจาก อบก.

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์และควบคุมการดำเนินงานตลาดคาร์บอนเครดิตตั้งแต่การขึ้นทะเบียนโครงการไปจนถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยน ชดเชยคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากโครงการ เกี่ยวกับเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนโครงการคาร์บอนเครดิต พบว่า เงื่อนไขแรกในการขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ ก็คือเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ทั้งนี้ เอกสารสิทธิที่สามารถขึ้นทะเบียน T-VER ภาคป่าไม้ได้นั้นต้องเป็นที่ดินเอกชน ได้แก่ น.ส.4จ น.ส.3 น.ส.3ก น.ศ.3ข ที่ดิน สปก. (เจ้าของที่ดินต้องเป็นเจ้าของโครงการ หรือพื้นที่ของาภาครัฐ ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงป่าชุมชน นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการทำโครงการ T-VER เช่น สำหรับเอกสารประเภท ภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) และใบจอง (น.ส.2) ไม่สามารถดำเนินโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ได้ และตามระเบียบของ อบก. พื้นที่ที่จะทำโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ต้องมีพื้นที่ของโครงการไม่น้อยกว่า 10 ไร่ และพิจารณาเฉพาะพื้นที่ที่มีต้นไม้เท่านั้น

ตามระเบียบของ อบก. โครงการที่ขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ T-VER และได้เริ่มดำเนินโครงการแล้ว ผู้พัฒนาโครงการจะต้องดำเนินการติดตามผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามที่ได้เสนอไว้ในเอกสารข้อเสนอโครงการ และจัดทำเป็นรายงานการติดตามประเมินผล พร้อมทั้งจัดหา “ผู้ประเมินภายนอก” เพื่อทำการทวนสอบปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้จากโครงการ หลังจากนั้น ผู้พัฒนาโครงการจะต้องรวบรวมเอกสารประกอบโครงการเพื่อส่งไปยัง อบก. เพื่อขอรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิต) “TVERs” โดยผู้พัฒนาหรือเจ้าของโครงการฯ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจและขอรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิต ราคาของการประเมินจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่และขนาดของโครงการ

สิ่งที่น่าสนใจและจับตามืองคือเรื่องการประเมินปริมาณการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในต้นไม้และพื้นที่ป่าที่ขึ้นทะเบียนโครงการ TVER รวมถึงกระบวนการในการรับรองคาร์บอนเครดิตป่าไม้ที่ผู้พัฒนาโครงการสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ คือหน่วยวัดปริมาณการกักเก็บหรือดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ป่าไม้และจากกิจกรรมการจัดการป่าไม้ เช่น การปลูกต้นไม้ บำรุงรักษาป่า อนุรักษ์ป่า ฟื้นฟูป่า เป็นต้น โดยกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกโดยการสนับสนุนของนักวิชาการด้านวนศาสตร์มีการกำหนดสูตรสำหรับการคำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิตในแต่ละประเภทป่าซึ่งจะแตกต่างกันไป คนที่สามารถทำการประเมินได้คือ “ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งอาจเป็นบริษัท สถาบันการศึกษา หรือบุคคลที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยจะทำการประเมินและทวนสอบปริมาณคาร์บอนเครดิตทั้งการประเมินความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ การประเมินตอนเริ่มต้นโครงการเพื่อสร้างเส้นฐานปริมาณการกักเก็บ และประเมินเพื่อรับรองคาร์บอนเครดิตเมื่อผู้พัฒนาโครงการดำเนินงานได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม คาร์บอนเครดิตป่าไม้ที่เกิดขึ้นสามารถนำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนในระบบตลาดเพื่อใช้เพื่อชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมได้ โดยภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้ (T-VER) เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง โดยคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER มีหน่วยเป็น “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)”

จะเห็นได้ว่า รัฐและเครือข่ายคาร์บอนเครดิตพยายามและอาศัยศาสตร์ด้านป่าไม้ในการเปลี่ยนชีวมวลของต้นไม้และระบบนิเวศป่าธรรมชาติเป็น “คาร์บอนเครดิต” ที่สามารถนำมาซื้อขายในตลาดคาร์บอนภาคป่าไม้ แนวคิดและมุมมองในการเปลี่ยนป่าเป็นสินค้าของทุนนั้นลดทอนคุณค่านิเวศบริการป่าไม้และความสลับซับซ้อนของความสัมพันธ์ของสรรพชีวิตในระบบนิเวศธรรมชาติ ป่าคาร์บอนลดทอนคุณค่าของระบบนิเวศและนิเวศบริการป่าไม้เหลือเพียง “ป่าคือแหล่งกักเก็บคาร์บอน” ซึ่งขัดแย้งกับมุมมองของคนท้องถิ่นและกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งมองป่าเป็นฐานทรัพยากรและเป็นฐานการดำรงชีพ นิเวศบริการจากป่ามีความหลากหลายและมีพลวัตค่อนข้างสูง แตกต่างกันไปในแต่ละภูมินิเวศ ความหลากหลายของนิเวศบริการไม่ว่าจะเป็นอาหารจากป่า น้ำ แหล่งเก็บหาของป่า พื้นที่เลี้ยงสัตว์ และพื้นที่ป่าความเชื่อ ป่าทางจิตวิญญาณ ล้วนเป็นฐานการดำรงชีพของคนท้องถิ่นโดยเฉพาะคนยากคนจน คนท้องถิ่นมีการพัฒนาความเชื่อและระบบความรู้สมัยหใหม่เพื่อจัดความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับทรัพยากรกลายเป็นองค์กความรู้นิเวศวิทยาท้องถิ่น แต่เป็นที่น่าเสียดายและเศร้าใจที่คุณค่าทางนิเวศบริการจากป่าและองค์ความรู้ท้องถิ่นกำลังจะถูกเปลี่ยนจากกลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตหรือตลาดคาร์บอนที่มองป่าเป็นเพียงแหล่งกักเก็บคาร์บอน

ป่าชุมชนคาร์บอน: กรณีศึกษาโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้

นับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา รัฐไทยพยายามผลักดันโยบายคาร์บอนเครดิตป่าไม้ และเริ่มชัดเจนมากขึ้นในช่วงรัฐบาล คสช. ทั้งนี้ ความเป็นไปได้ของโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้สืบเนื่องจากระเบียบการแบ่งปันผลประโยชน์จากการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนภาคป่าไม้ที่ออกกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงหน่วยงานป่าไม้รวม 4 ฉบับ ได้แก่ 1) ระเบียบกรมป่าไม้ ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตจากการปลูก บำรุง อนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าในพื้นที่ป่าไม้ พ.ศ. 2564 2) ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช ว่าด้วยการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่ได้จากการปลูก บำรุง อนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ พ.ศ. 2564 3) ระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนสำหรับองค์กรหรือบุคคลภายนอก พ.ศ.​ 2564 และ 4) ระเบียบคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชนเรื่องการใช้ประโยชน์จากผลผลิตและบริการป่าชุมชน เนื้อหาหลักๆ ของระเบียบทั้ง 4 ฉบับก็คือ การขออนุญาตดำเนินโครงการคาร์บอนในพื้นที่ป่าของรัฐโดยโครงการคาร์บอนเครดิตต้องผ่านการอนุมัติและได้รับความเห็นชอบจากอธิบดีของหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ป่าประเภทที่โครงการตั้งอยู่ และประเด็นที่สำคัญของระเบียบทั้ง 4 ฉบับนี้ก็คือ การกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์หรือรายได้จากการซื้อขาย แลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตจากป่าระหว่างผู้พัฒนาโครงการ เจ้าของโครงการ และหน่วยงานภาครัฐ

ในส่วนนี้ จะนำเสนอให้เห็นพลวัตของโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้ในพื้นที่ป่าชุมชนซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักของรัฐในการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและหน่วยงานภายนอกเข้ามาดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้ โดยผู้วิจัยเลือกกรณีศึกษาป่าชุมชน 3 พื้นที่ เป็นพื้นที่ศึกษาวิจัยและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวแสดง การปฏิบัติการ และความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ของเครือข่ายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย

กรณีศึกษาที่ 1 โครงการป่าชุมชนอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่

ด้วยการริเริ่มและการประสานงานของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะกรรมการป่าชุมชน ในตำบลทาเหนือ และตำบลแม่ทา ในอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 12 หมู่บ้าน ได้เข้าร่วมและพัฒนาโครงการป่าชุมชนคาร์บอนเครดิตตั้งแต่ปี 2566 และขึ้นทะเบียนโครงการ TVER กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก องค์การมหาชน (อบก.) ในปี 2567 ระยะเวลาของโครงการคือ 10 ปี สิ้นสุดปี 2576 ขนาดพื้นที่โครงการคาร์บอนเครดิตที่แต่ละชุมชนขึ้นทะเบียนโครงการฯ จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความพร้อมและความสมัครใจของผู้นำและสมาชิกป่าชุมชน

ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ทำหน้าที่ระดมทุนจากภาคเอกชนนในสัดส่วนไร่ละ 2700 บาท โดยมูลนิธิฯ จะจ่ายเงินให้กับชุมชนที่เข้าร่วมโครงการไร่ละ 1500 บาท แบ่งจ่ายออกเป็น 4 งวด กล่าวคือ งวดที่ 1 จ่ายเมื่อสิ้นสุดปีที่ 1 จำนวน 300 บาทต่อไร่ ส่วนที่เหลือจะจ่ายในปีที่ 2-4 จำนวนไร่ละ 400 บาท ทางมูลนิธิฯ กำหนดให้ชุมชนจัดตั้งกองทุนเพื่อบริหารจัดการเงินที่ได้รับจากโครงการ โดยแบ่งออกเป็น 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนดูแลป่าในพื้นที่ป่าชุมชน หรือเรียกว่า “กองทุนป่า” และกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ในพื้นที่ป่าชุมชน หรือเรียกว่า “กองทุนพัฒนา”

บทบาทของชุมชนก็คือ การสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการโดยดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการบุกรุกทำลาย การอนุรักษ์ และฟื้นฟูป่าชุมชน เช่น การทำแนวกันไฟ การดับไฟป่าที่เกิดขึ้น เป็นต้น หากมีการบุกรุกทำลายป่าหรือเกิดไฟป่าซึ่งทำลายพื้นที่ป่าชุมชนมากกว่า 15% ของ พื้นที่ป่าทั้งหมด งบประมาณที่จะเบิกจ่ายเข้ากองทุนจะถูกลดเป็นจานวนเงินตามสัดส่วน ของป่าชุมชนที่ถูกทำลายทั้งหมดในปี นั้นๆ ยกเว้นเกิดจากเหตุสุดวิสัย ทางมูลนิธิฯ วางแผนจะดำเนินการรับรองคาร์บอนเครดิตทุกๆ 3 ปี โดยครั้งที่ 1 จะดำเนินการเมื่อสิ้นสุดปี 2569 คาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการดำเนินโครงการจะต้องโอนให้กับทางมูลนิธิฯ

นอกจากนี้ การดำเนินงานภายใต้โครงการฯ ยังมีเงื่อนไขให้สมาชิกครัวเรือนในชุมชน ร่วมกันจัดทำ “ข้อเสนอกิจกรรมประจาปี” และ “ข้อกำหนดในการดูแลป่าชุมชนและใช้ “ข้อกำหนดฯ” ดำเนินการให้มีสมาชิกครัวเรือน ประโยชน์จากป่าชุมชน กิจกรรมที่ชมุชนต้องทำร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูแลรักษาป่า เช่น การทำแนวกันไฟ ลาดตระเวนป่า จัดการเชื้อเพลิงจากป่า จัดตั้งหอสังเกตการณ์ไฟป่า การบำรุงดูแลรักษากล้าไม้ในป่า เช่น การปลูกกล้าไม้เสริม การดายหญ้า คลุม โคนกล้าไม้ที่ปลูกในป่าชุมชน

สำหรับข้อกาหนดในการใช้ประโยชน์จากป่าของครัวเรือนในพื้นที่โครงการ เช่น การห้ามเข้าไปใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าบางส่วน การห้ามตัดไม้ในป่า อนุรักษ์ ปริมาณการใช้ประโยชน์สูงสุดต่อ ครัวเรือน (การเก็บผลผลิตจากป่า การตัดไม้ในป่าใช้สอย) การปลูกต้นไม้ทดแทนไม้ที่ถูกนำไปใช้ และการจัดการผลประโยชน์จากป่า ร่วมกันของชุมชน มีการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ละเมิดข้อกำหนด

กรณีศึกษาที่ 2 ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จังหวัดเพชรบุรี

ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง ตําบลท่าไม้รวก อําเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าชะอํา-บ้านโรง มีเนื้อที่ทั้งหมด 3,276 ไร่ ขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนจากกรมป่าไม้ เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552 ต่อมาในปี 2558 กรมป่าไม้ได้นำป่าชุมชนโค้งตาบางขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ หรือ TVER กับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ถือเป็นป่าชุมชนแห่งแรกที่มีการขึ้นทะเบียน

ป่าชุมชนบ้านโค้ง ตาบาง เป็นป่าชุมชนแห่งแรกที่มีการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) เนื้อที่ 1,397 ไร่ ซึ่งกรมป่าไม้ได้ร่วมมือกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกและคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง นำร่องจัดทำโครงการ T-VER ในพื้นที่ป่าชุมชน บ้านโค้งตาบาง มีคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บริษัท ราชกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมสนับสนุนส่งผลให้ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่า

ภาครัฐและหน่วยงานที่เข้าไปสนับสนุนโครงการ TVER อ้างว่าโครงการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการจัดการป่าชุมชน ซึ่งนอกเหนือจากประโยชน์คาร์บอนเครดิตที่ได้รับสิทธิการแบ่งปันตามกฎหมายแล้ว ผลประโยชน์ร่วมที่ได้รับจากการที่ชุมชนช่วยกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู ปลูกเสริมป่า ป้องกันไฟป่า จะทำให้ป่ามีความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งน้ำ ความมั่นคงด้านแหล่งอาหารให้กับชุมชน ชุมชนสามารถใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติ หรือการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยชุมชน ส่งเสริมให้เกิดการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างเศรษฐกิจ/รายได้ให้กับชุมชน จากผลิตภัณฑ์ในชุมชน หรือจากการศึกษาดูงาน ขณะเดียวกัน จะเป็นประโยชน์ในการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงเป้าหมายในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี พ.ศ 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 เพื่อยกระดับการดำเนินงานต่อไป

จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบางได้คาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 –2565 จำนวน 5,259 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเป็นปริมาณที่สามารถนำไปซื้อขายได้ และได้มีภาคธุรกิจ 3 บริษัท ได้แก่ 1) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 2) บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ 3) บริษัท ณ ฤทธิ์ จำกัด ซื้อขายคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จำนวนเงินกว่าเจ็ดล้านบาท เป็นเงินรายได้เข้าบัญชีทรัพย์สินส่วนกลางของป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง เพื่อให้คณะกรรมการจัดการป่าชุมชน นำไปใช้ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแล จัดการป่าชุมชน และแบ่งรายยได้ให้กรมป่าไม้ 10%

อย่างไรก็ตาม ภาคประชาสังคมีข้อกังวลว่าการอ้างสถานการณ์ “win-win” ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างชุมชน รัฐ และภาคเอกชนนั้นเป็นความข้าใจที่ไม่สะท้อนความเป็นจริง เป็นเรื่องจริงที่ว่าชุมชนได้รับประโยชน์ทางการเงินจากการอนุรักษ์ป่า แต่โครงการคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชนและการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทำให้บริษัทต่างๆ สามารถจ่ายเงินเพื่อปล่อยมลพิษต่อได้ ในขณะที่บริษัทเหล่านี้แทบไม่ได้ทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและวิกฤตสภาพอากาศที่ต้นทางเลย ในกรณีนี้ บริษัทผู้ซื้อยังคงขุดเจาะและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศต่อไป การชดเชยคาร์บอนเครดิตโดยอาศัยป่าชุมชนเช่นกรณีนี้ช่วยฟอกเขียวบริษัทให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยให้บริษัทเหล่านี้อ้างตนเองว่าเป็นกลางทางคาร์บอน

โครงการเครดิตคาร์บอนโดยใช้ป่าเป็นฐานอาจดูน่าสนใจสำหรับชุมชนท้องถิ่น เนื่องจากคำมั่นสัญญาเรื่องเงินและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ชุมชนมีหน้าที่ดูแลต้นไม้ต่อเนื่องเป็นเวลา 7-10  ปีตามเงื่อนไขของสัญญา และยังคงไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหากต้นไม้และป่าถูกทำลาย

กรณีศึกษาที่ 3 ป่าชุมชนชายเลนบ้านโคกยูง จังหวัดกระบี่

โครงการคาร์บอนเครดิต บ้านโคกยูง อยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

บ้านโคกยูงตั้งอยู่ติดกับทะเล มีพื้นที่อยู่อาศัยและทำเกษตร ประมาณ 5,500 ไร่ และมีพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน 5,425 ไร่ ชุมชนบ้านโคกยูงเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตโดยการเชิญชวนของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ภายใต้โครงการป่าชายเลนสำหรับชุมชน และโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตสำหรับชุมชน โดย ทช. ได้ออกประกาศขอเชิญชวนชุมชนท้องถิ่น/ชุมชนชายฝั่ง เข้าร่วมโครงการป่าชายเลนสำหรับชุมชน วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 หลังจากนั้น ทช. ได้ออกประกาศขอเชิญชุมชนท้องถิ่น/ชุมชนชายฝั่ง ร่วมโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตสำหรับชุมชน ประจำปี พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2566 ซึ่งชุมชนที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตจะต้องขึ้นทะเบียนชุมชนท้องถิ่นและชุมชนชายฝั่งกับ ทช.

แน่นอนว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นเจ้าของพื้นที่ป่าชายเลนตามกฎหมาย รวมถึงเป็นเจ้าของโครงการคาร์บอนเครดิต โดยมีการดำเนินการภายใต้โครงการป่าชายเลนสำหรับชุมชน และโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตสำหรับชุมชน ในขณะที่ บริษัทสยามทีซี เทคโนโลยี จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการ หรือบุคคลภายนอกที่ยื่นคำขอร่วมโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ภายใต้เงื่อนไขของโครงการดังกล่าวนี้ ทางบริษัทสยามทีซี เทคโนโลยี จำกัด ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือสัญญา เรื่องการดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตสำหรับชุมชน ประจำปี พ.ศ. 2566 เมื่อเดือนมีนาคม 2566 และมอบเงิน จำนวน 200,000 บาท ให้แก่ชุมชน เมื่อเดือนเมษายน 2566 จัดสรรเงินเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่งเสริมกลุ่มอาชีพในชุมชน จำนวน 50,000 บาท ออมทรัพย์สลากออมสิน จำนวน 100,000 บาท และให้ทุนการศึกษา/ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ จำนวน 50,000 บาท

บริษัท สยามทีซี เทคโนโลยี จำกัด และชุมชนบ้านโคกยูง (โดยคณะกรรมการป่าชายเลนป่าชุมชนบ้านโคกยูง จำนวน 3 คน) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่องการดำเนินโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต สำหรับชุมชน เนื้อที่ 3,110-2-07 ไร่ โดยมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี สำหรับพื้นที่ที่ได้รับอนุมัตินั้น ถือเป็นการได้มาซึ่งสิทธิในการปลูกป่าและดูแลรักษาป่าชายเลนให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเวลา 30 ปี ฉะนั้นในพื้นที่ตรงนี้ผู้ที่ได้รับอนุมัติโครงการไม่มีสิทธิไปล้อมรั้ว หรือไปปิดกั้นคนในชุมชน ในทางกลับกันคนในชุมชนทุกคนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ ทั้งการทำเกษตรกรรม ทำประมงพื้นบ้าน จับสัตว์น้ำได้เหมือนเดิม ทางบริษัทมีหน้าที่ดูแลรักษาป่าชายเลนให้มีทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ทำให้ระบบนิเวศสมบูรณ์ขึ้นเพื่อประโยชน์ของชุมชนต่อไป

ตามบันทึกข้อตกลงกำหนดให้ชุมชนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในการฟื้นฟู ลาดตระเวน ป้องกันการบุกรุกป่าชายเลนทั้งที่อำนาจหน้าที่ดังกล่าวเป็นของเจ้าหน้าที่เป็นหลัก ในเอกสารยังระบุว่าผลงานหรือทรัพย์สินทางปัญญาใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานภายใต้บันทึกข้อตกลงให้บริษัทเป็นผู้ทรงสิทธิ การแบ่งปันคาร์บอนเครดิตให้บริษัทได้รับส่วนแบ่ง 70% ส่วนชุมชนได้รับส่วนแบ่งเพียง 20%

สิทธิและทรัพยากรส่วนร่วมของชุมชนใต้เงาทุนนิยมคาร์บอน

ป่าชุมชนในฐานะทรัพยากรส่วนรวมซึ่งเป็นทรัพยากรที่คนท้องถิ่นจัดการใช้ประโยชน์ร่วมกันกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่จากกระแสการค้าคาร์บอน รัฐและเครือข่ายคาร์บอนเครดิตสร้างมายาคติ “win-win situation” ชี้นำว่าโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้จะช่วยให้ชุมชนมีรายได้เสริมจากการดูแลป่า ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบกองทุนของหมู่บ้าน สามารถใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและดูแลรักษาป่าต่อไป ในขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจเอกชนซึ่งเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานจะได้รับคาร์บอนเครดิต เพื่อนำไปชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขององค์กร อย่างไรก็ตาม จากการศึกษา สามารถตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นถึงความเสี่ยงและแนวโน้มผลกระทบของโครงการคาร์บอนเครดิตต่อสิทธิและการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนทั้งในเรื่องการรับรู้ข้อมูล การมีส่วนร่วม และความเป็นอิสระในการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการของชุมชน ผลกระทบต่อความหลากหลาย ระบบนิเวศ และความมั่นคงทางอาหารของชุมชนในระยะยาว รวมไปถึงสิทธิคาร์บอนและความเป็นเจ้าของทรัพยากร

ทำไมชุมชนจึงเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้? จากการศึกษา พบว่า การตัดสินใจเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตของชุมชนนั้นมีเงื่อนไขและคำอธิบายอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่ ประการแรก การขาดแคลนงบประมาณในการดูแลรักษาป่าและจัดการไฟป่า ชุมชนมองโครงการคาร์บอนเครดิตเป็นโอกาสในการได้เงินมาสนับสนุนกิจกรรมการจัดการป่าของชาวบ้านทั้งในเรื่องการตรวจป่า การควบคุมและจัดการไฟ่ปา รวมถึงสวัสดิการต่างๆ ของคณะกรรมการป่าชุมชน และประการที่สอง การเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตของชุมชนนั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับหน่วยงานภาครัฐ ในพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโค้งตาบาง จังหวัดเพชรบุรี กรมป่าไม้ทำงานร่วมกับชุมชนในรูปแบบป่าชุมชนมาอย่างยาวนาน มีการสนับสนุนงบประมาณทำกิจกรรมการจัดการป่า พาไปศึกษาดูงาน พร้อมทั้งการมอบรางวัลต่างๆ มากมาย การพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตร่วมกันระหว่างกรมป่าไม้กับชุมชนบ้านโค้งตาบางจึงอยู่บนความสัมพันธ์เชิงอำนาจนี้ อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยมีข้อสังเกตเชิงลึกเกี่ยวกับเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการฯ ของชุมชนนั้นสืบเนื่องจากการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการคาร์บอนเครดิตแบบจำกัดและไม่รอบด้าน ผู้พัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตมักเลือกนำเสนอเฉพาะด้านบวกเกี่ยวกับงบประมาณและรายได้ที่ชุมชนจะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ แต่ชุมชนไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับกลไกการชดเชยคาร์บอนของภาคเอกชนรวมถึงปัญหาการฟอกเขียว ในแง่นี้ การตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ ของชุมชนจึงมีเงื่อนไขและไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง  

กลไกการซื้อขายและชดเชยคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้เปิดโอกาสให้กลุ่มทุนและภาคธุรกิจเอกชนเข้าไปครอบครองทรัพยากรของชุมชนที่อาศัยอยู่ในเขตป่า โดยมีภาคราชการคอยเอื้อและสนับสนุนทางนโยบายผ่านการกำหนดระเบียบการแบ่งปันคาร์บอนและการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU)  ร่วมกับกลุ่มทุนอุตสาหกรรม ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวนี้ภาคเอกชนสามารถเข้าไปทำโครงการปลูกและฟื้นฟูป่าไม้ทั้งในพื้นที่ป่าธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชน ป่าชายเลน รวมถึงพื้นที่ชายฝั่ง และภายใต้นโนยบายของรัฐบาลชุดนี้ยังจะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าไปปลูกป่าในพื้นที่ที่รัฐจัดสรรให้กับประชาชน เช่น พื้นที่ คทช. และ สปก. เป็นต้น และด้วยเงื่อนไขของกฎระเบียบที่กำหนดโดยรัฐ บริษัทและกลุ่มทุนสามารถทำสัญญาซื้อขายคาร์บอนเครดิตกับชุมชนท้องถิ่น และสามารถครอบครองเป็นเจ้าของทรัพยากรในพื้นที่ป่าที่ชุมชนจัดการและใช้ประโยชย์ร่วมกัน 

สามารถกล่าวได้ว่า โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้สร้างเงื่อนไขและจำกัดการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรของกลุ่มคนเปราะบางในชุมชนที่ยังคงต้องพี่งพาทรัพยากรจากป่าเพื่อดำรงชีพ ทั้งนี้ การกำหนดเขตพื้นที่โครงการคาร์บอนเครดิป่าไม้ที่ซ้อนทับไปบนพื้นที่ป่าชุมชนทำให้การเก็บหาของป่าและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ เช่น การเลี้ยงสัตว์ มีเงื่อนไขและต้องถูกจำกัดมากขึ้น แม้ผู้พัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้จะพยายามอธิบายว่า ภายใต้ระยะเวลาการดำเนินของโครงการชุมชนสามารถเข้าไปเก็บหาของป่าได้เช่นเดิม แต่ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไปกิจกรรมการใช้ประโยชน์จะยังคงปฏิบัติได้ เพราะแน่นอนว่าสิ่งที่ผู้พัฒนาต้องการในระยะยาวคือปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เพิ่มขึ้น และการเข้าไปเก็บหาใช้ประโยชน์ในป่าชุมชนอาจจะกระทบและขัดแย้งกับเป้าหมายของโครงการ

ในแง่ทางนิเวศวิทยา โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้หรือ “ป่าคาร์บอน” อาจคุกคามต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความมั่นคงทางอาหารของชุมชน เราต่างตระหนักดีว่าความหลากทางชีวภาพคือหัวใจสำคัญของความมั่นคงและอธิปไตยทางอาหารของชุมชน ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชาสัมพันธ์การปลูกป่าเพื่อลดโลกร้อน รณรงค์พันธุ์ไม้ที่สามารถนำไปปลูกเพื่อสร้างรายได้และลดโลกร้อน จำนวน 58 ชนิดพันธุ์ แต่ดูเหมือนว่ารัฐเองไม่เคยให้ข้อมูล และการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเหมาะสมและการคัดเลือกชนิดพันธุ์ไม้ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศดั้งเดิม การรณรงค์ยังคงเน้นเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เน้นการสร้างรายได้จากไม้ที่ปลูก และมุ่งไปที่การเคลมจำนวนคาร์บอนเครดิตจากต้นไม้มากจนเกินไป การส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพียง 58 ชนิดน่าจะเป็นภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพและในระยะยาวอาจหมายถึงภัยคุกตามต่อความมั่นคงของชีวิต นอกจากนี้ โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้ที่เน้นการการเพิ่มปริมาณคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าอย่างเข้มข้นจริงจัง อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการจัดการทรัพยากรของชุมชน และยังลดทอนคุณค่านิเวศบริการป่าไม้ที่หลากหลายและซับซ้อนให้เหลือเพียงป่าเพื่อคาร์บอนเครดิตเพียงมิติเดียว

ข้อสังเกตประการสุดท้าย คาร์บอนเครดิตป่าไม้และกลไกตลาดคาร์บอนที่เกิดขึ้นในบริบทของชุมชนชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทรัพยากรป่าไม้ยังอยู่ภายใต้อำนาจการตัดสินใจของรัฐ รัฐยังเป็นเจ้าของทรัพยากร กฎหมายป่าชุมชนให้สิทธิและอำนาจในการจัดการป่ากับคณะกรรมการป่าชุมชนและชาวบ้านแบบครึ่งๆ กลางๆ เป็นสิทธิการจัดการป่าแบบมีเงื่อนไขไม่สมบูรณ์แบบ หากชุมชนในเขตป่าได้รับการรับรองสิทธิการจัดการฐานทรัพยากรดิน น้ำ ป่าไม้ที่สมบูรณ์ เราอาจได้ยินเสียงของชาวบ้านในฐานะเจ้าของทรัพยากรป่าไม้ที่ชัดเจนมากขึ้น

กลไกที่ไม่อิงตลาดคาร์บอน: ทางรอดเพื่อความเป็นธรรมทางสังคมและนิเวศ

รัฐและเครือข่ายคาร์บอนเครดิตซึ่งสนับสนุนแนวทางตลาดคาร์บอนมักอ้างเหตุผลความจำเป็นเรื่องการขาดแคลนเงินทุนจึงต้องอาศัยกลไกตลาดเพื่อระดมทุนจากภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนการดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร่วมกัน แท้ที่จริงแล้วเหตุผลและคำอธิบายดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงคำลวงของผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งพวกเขาต้องการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและไม่ต้องการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นต่อสภาพภูมิอากาศของโลก

ถึงเวลาหรือยังที่ต้องมีการทบทวนและรื้อถอนแนวทางตลาดคาร์บอนที่ล้มเหลว? ใน Article 6 ของความตกลงปารีสมีการพูดถึง “กลไกที่ไม่อิงตลาด” หรือ Non Market Mechanism/Approach หรือเรียกย่อๆ ว่า NMA น่าเสียดายที่รัฐไทยและกลุ่มที่สนับสนุนมักเน้นย้ำเนื้อหาบางส่วนของมาตรา 6.2 และ 6.4 ของความตกลงปารีส มีการลงทุนอย่างเข้มข้นในการผลักดันและพัฒนาเทคนิคที่ซับซ้อนสำหรับการประเมินคาร์บอนเครดิต แต่มักหลงมาตรา 6.8 ซึ่งบ่อยครั้งจะพบว่าถูกนำไปใส่ไว้ในเชิงอรรถซึ่งไม่มีเนื้อหาและรายละเอียดแต่อย่างใด  ในเอกสารที่เผยแพร่โดย Greenpeace และองค์กรพันธมิตร[i]กล่าวถึงมาตรา 6.8 ของข้อตกลงปารีสไว้ว่า มาตรา 6.8 มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมแนวทางที่ไม่ใช่ตลาดแบบบูรณาการ แบบองค์รวม และสมดุล สำหรับการดำเนินการ “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ NDC มีการมุ่งเน้นทั้งความทะเยอทะยานในการบรรเทาผลกระทบและการปรับตัว อย่างไรก็ดี มาตรานี้มีวัตถุประสงค์เพิ่มเติมในการดำเนินการผ่านการประสานงานระหว่างเครื่องมือและกลไกเชิงสถาบันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ การเชื่อมโยงกับ CBD และสนธิสัญญาระหว่างประเทศและความคิดริเริ่มอื่น ๆ ที่พยายามปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

แนวทางที่ไม่ใช่การตลาด (NMA) มีศักยภาพที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มีความจำเป็นและสร้างความเป็นธรรมต่อสังคมและสภาพภูมิอากาศ ซึ่งแน่นอนว่าการขับเคลื่อนแนวทางที่ไม่อิงตลาดนี้อาจไปขัดขวาง “การดำเนินธุรกิจตามปกติ” ซึ่งเป็นวิธีการที่รัฐและกลุ่มทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่คุ้นชินและนำมาใช้เพื่อตอบสนองคววามต้องการของตนเอง Greenpeace และองค์กรพันมิตรเน้นย้ำว่า มีหลายด้านที่ NMA สามารถสร้างความแตกต่างได้ ทั้งในเรื่องการถือครองที่ดินและแนวทางที่อิงสิทธิชุมชนและสิทธิมนุษยชน การยกเลิกหนี้สินต่างประเทศ การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม การคุ้มครองระบบนิเวศ การฟื้นฟูภูมิทัศน์ การบริโภคและห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน การตรวจสอบย้อนกลับ ความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วม รวมถึงการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่ทัดเทียม

ตัวอย่างเช่น การอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศที่มีคาร์บอนและบริการทางระบบนิเวศที่หลากหลายมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่นเดียวกับการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ NMA เพื่อสนับสนุนการปกป้องระบบนิเวศสามารถสนับสนุนการปรับกระบวนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรของชุมชนที่มีธรรมาภิบาลโดยยึดแนวทางการมีส่วนร่วมและอยู่บนฐานคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมถึงการสร้างแรงจูงใจอื่นๆ  ทางการเงินที่อำนวยความสะดวกให้กับชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น เจ้าของที่ดิน รวมถึงหน่วยงานของนรัฐในการดูแลรักษาป่าและระบบนิเวศ

อีกหนึ่งตัวอย่างของการขับเคลื่อน NMA ก็คือ การส่งเสริมการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ NMA สามารถสนับสนุนมาตรการเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงไปสู่การบริโภคที่ยั่งยืน รวมถึงแรงจูงใจด้านภาษีเพื่อส่งเสริมอาหารที่ผลิตจากพืช สนับสนุนการดำเนินนโยบายเพื่อลดขยะจากเศษอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน เป้าหมายในการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์นมและปศุสัตว์ การยกเลิกเงินอุดหนุนเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม รวมถึงนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ปรับปรุงใหม่ตามเงื่อนไขการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น 

นอกจากนี้ NMA สามารถมีส่วนร่วมในการลดการทุจริตโดยเน้นการสร้างความโปร่งใส ปรับปรุงมาตรฐานการรายงานต่างๆ ของภาครัฐให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวกและทันเวลา ส่งเสริมโมเดลการเป็นผู้ประกอบการในชุมชนและท้องถิ่น ปรับปรุงกลไกการตรวจสอบที่เป็นอิสระ และการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส และรับประกันการมีส่วนร่วมของชนเผ่าพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น และตัวแทนภาคประชาสังคมอื่นๆ ในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกระดับ

จะเห็นได้ว่า แนวทาง NMA นั้นเป็นการดำเนินงานแบบองค์รวม ผสมผสานมิติการลดผลกระทบ การปรับตัว และการเยียวยาเมื่อเกิดความเสียหาย เป็นแนวทางที่เปิดกว้างกว่ากลไกตลาดที่พูดถึงประเด็นทางเทคนิคและการซื้อขายคาร์บอนซึ่งไม่ตอบสนองต่อการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่นและระบบนิเวศ แน่นอนว่า การขับเคลื่อน NMA ตามมาตรา 6.8 ของความตกลงปารีส อาจมีแรงต้านและถูกขัดขวางจากกลุ่มทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล พวกเขาต้องการคาร์บอนเครดิตป่าไม้เพื่อมาชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ตนเองปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศของโลก ชุมชนท้องถิ่นและภาคประชาสังคมต้องร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อน NMA ให้เกิดขึ้นและเป็นรูปธรรมต่อไป


เอกสารและสิ่งอ้างอิง

คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม. 2559. ความยุติธรรทางสิ่งแวดล้อม. สถาบันนโยบายศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566.

เฟรด เพียรซ์. นักแย่งยึดที่ดิน การต่อสู้ครั้งใหม่ ใครคือเจ้าของผืนดิน (ฉบับแปล). KLED THAI CO. LTD.

ประเสริฐ ติยานนท์, สิรนิทร์ ติยานนท์ และ ปิยพงษ์ สืบเสน. 2016. การทดลองปลูกเสริมเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศป่าดิบแล้งที่มีไม้ลาน. การประชุมวิชาการการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 (2016) : 65–72.

ปริญญา ภูศักดิ์สาย, สาพิศ ดิลกสัมพันธ์, รุ่งเรือง พูลศิริ และ ชนิษฐา จันทโชติ. 2561. มวลชีวภาพและการกักเก็บคาร์บอนของพรรณไม้ป่า 4 ชนิด ณ สถานีวนวัฒนวิจัย ประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์. วารสารวนศาสตร์ 37 (2): 13-26.

ปตต. 2565. แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี 2565. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน).

สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. 2566. ความเห็นทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่น่าสนใจ การแบ่งปันผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต. กฤษฎีสาร 18 (4): 2

High-Level Expert Group on the Net Zero Emissions Commitments of Non-State Entities. 2022. Integrity Matters: Net Zero Commitments by Businesses, Financial Institutions, Cities and Regions. Report from High-Level Expert Group on the Net Zero Emissions Commitments of Non-State Entities.

IEA. 2021. Global Energy Review 2021 Assessing the effects of economic recoveries on global energy demand and CO2 emissions in 2021. International Energy Agency.

Websites

https://ghgreduction.tgo.or.th/th

https://www.forest.go.th/community

https://www.dmcr.go.th

https://portal.dnp.go.th

https://unfccc.int


[1] บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่องผลกระทบคาร์บอนเครดิตป่าไม้ต่อการดำรงชีพของชุมชน อยู่ในระหว่างการดำเนินงานภายใต้โครงการประชาสังคมเปลี่ยนผ่านภูมิอากาศอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


[i] https://www.greenpeace.org/static/planet4-international-stateless/2023/12/c610d444-20231130_match-makingcommunity-ledclimateaction_ds_small.pdf

Scroll to Top