THAI CLIMATE JUSTICE for All

Autonomous Design: การออกแบบเพื่ออัตลักษณ์และอำนาจตนเอง — เส้นทางสู่การปลดปล่อยผ่านการออกแบบ

บทนำ: จะเป็นไปได้ไหมที่ชุมชนจะออกแบบชีวิตของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพานักออกแบบจากภายนอก?

ภายใต้โลกทัศน์แบบ One-World World (OWW) ที่ Escobar วิพากษ์ การออกแบบมักอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญ: นักออกแบบมืออาชีพ บริษัทเทคโนโลยี หรือสถาบันระหว่างประเทศ ซึ่งมองปัญหาของชุมชนเป็นโจทย์ที่ต้อง “แก้” ผ่านเครื่องมือที่ตนถนัด แต่การออกแบบเช่นนั้น—แม้จะเปิดให้มีการมีส่วนร่วมบ้าง—มักยังมีลักษณะ “บนลงล่าง” และเต็มไปด้วยตรรกะของอำนาจแบบเดิม

  • Arturo Escobar เสนอ “Autonomous Design” หรือ การออกแบบโดยชุมชนเอง ตามโลกทัศน์ของตนเอง
  • มันไม่ใช่เพียงการมีส่วนร่วม (participation) แต่คือ การกลับคืนอำนาจในการกำหนดอนาคต อย่างเต็มที่

Autonomous Design คืออะไร?

  • Autonomous Design ไม่ใช่แค่การมีส่วนร่วมในกระบวนการที่คนอื่นออกแบบไว้แล้ว
  • แต่คือการที่ชุมชนเป็นผู้ ออกแบบกระบวนการนั้นเองตั้งแต่ต้น บนพื้นฐานของ:
  • โลกทัศน์ (cosmovision) และความรู้ท้องถิ่น
  • ความสัมพันธ์กับดิน น้ำ ผืนป่า วิญญาณ บรรพบุรุษ
  • ค่านิยมที่ชุมชนเห็นว่าสำคัญ ไม่ใช่ค่านิยมของโลกภายนอก
  • การออกแบบเช่นนี้จึง “ปลดแอก” การออกแบบออกจากกรอบคิดแบบตะวันตก และพาเรากลับไปสู่ “rooted design” — การออกแบบที่มีรากอยู่ในผืนดิน ประวัติศาสตร์ และชีวิตของชุมชนเอง
  • มากกว่า participatory design: จาก “design for” → “design by”
  • ในทศวรรษที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่นักออกแบบจะพยายามชวนผู้คนมามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น co-design หรือ participatory design

แต่ Escobar ชี้ให้เห็นว่า แนวทางเหล่านี้ ยังคงรักษาโครงสร้างอำนาจแบบเดิมไว้:

  • คนภายนอกเป็นคนตั้งกรอบ/คำถาม
  • คนในชุมชนเป็นแหล่งข้อมูล หรือ “ผู้ใช้”
  • นักออกแบบยังคง “ตีความ” และ “สังเคราะห์” แนวทางจากภายนอก
  • Autonomous Design ไม่ใช่การชวนคนในมาร่วมคิดในระบบที่มีอยู่
  • แต่คือการ ออกแบบระบบใหม่ของตนเอง ตั้งแต่ระดับแนวคิดไปจนถึงโครงสร้าง

ฐานคิด: ความรู้ที่ฝังรากอยู่ในชีวิต

Autonomous Design ต้องเริ่มจาก การฟัง ไม่ใช่การวิเคราะห์ ต้องเปิดพื้นที่ให้กับ:

  • ความรู้พื้นบ้าน (ไม่ใช่แค่ความรู้เชิงเทคนิค แต่รวมถึงความรู้เรื่องจิตวิญญาณ ประวัติศาสตร์ การดำรงอยู่)
  • ภาษาของชุมชน ที่มักไม่ได้ถ่ายทอดผ่าน PowerPoint หรือเอกสาร แต่ผ่านพิธีกรรม นิทาน เพลง ความเงียบ และภูมิทัศน์
  • วิถีของการรู้ (ways of knowing) ที่เชื่อมโยงคนกับผืนดิน น้ำ ป่า และชีวิตอื่นๆ อย่างลึกซึ้ง
  • Escobar ชี้ว่าการออกแบบภายใต้โลกทัศน์แบบตะวันตกมักตัด “ความรู้สึก” และ “จิตวิญญาณ” ออกจากกระบวนการ
  • ในขณะที่ Autonomous Design รวมทั้งหมดนั้นไว้ในฐานของการออกแบบ

ตัวอย่าง: การออกแบบโดยชุมชน Nasa และ Misak

Escobar ยกตัวอย่างการออกแบบการปกครองตนเองในชุมชนพื้นเมืองในโคลอมเบีย เช่น:

  • ชุมชน Nasa และ Misak ซึ่งไม่ได้เพียงแต่จัดการป่าไม้หรือระบบเกษตรให้ยั่งยืน
  • แต่ออกแบบระบบการเมือง การศึกษา และความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ใหม่ทั้งหมด
  • พวกเขานิยาม “ความเป็นธรรม” ไม่ใช่ในแง่กฎหมาย แต่คือความสมดุลกับผืนดิน
  • การปกครองตนเองไม่ได้หมายถึง “รัฐขนาดย่อม” แต่คือ โครงสร้างของความสัมพันธ์ที่เน้นการดูแล มากกว่าการควบคุม
  • สิ่งเหล่านี้คือ Autonomous Design ที่ไม่ต้องการคำรับรองจากรัฐหรือองค์กรพัฒนา
  • แต่ยืนอยู่บนความชอบธรรมของประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา และชีวิตที่ดำรงอยู่จริง

Buen Vivir: ปรัชญาของการอยู่ดีที่ไม่เหมือนโลกทุนนิยม

  • Autonomous Design มักเชื่อมโยงกับแนวคิด “Buen Vivir” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “การอยู่ดี”
  • แต่มันลึกซึ้งกว่าแนวคิด “Well-being” แบบตะวันตก
  • Buen Vivir คือโลกทัศน์ของการดำรงชีวิตร่วมกับผู้อื่น—ทั้งมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์—อย่างสมดุลและเคารพ
  • เป็นการอยู่ดีที่ไม่ต้องขึ้นกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือความสามารถในการบริโภค

แต่มาจาก:

  • ความสัมพันธ์กับธรรมชาติที่ไม่เป็นทรัพยากร แต่เป็นญาติ
  • ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของวงจรชีวิต ไม่ใช่ผู้ควบคุมธรรมชาติ
  • การเชื่อมโยงข้ามรุ่น — ระหว่างบรรพบุรุษ ผู้คนปัจจุบัน และคนรุ่นต่อไป
  • Escobar เสนอว่า หากจะมีการออกแบบใดๆ ที่เป็นธรรมและยั่งยืนในศตวรรษนี้
  • การออกแบบนั้น ต้องสอดคล้องกับวิถีแห่ง Buen Vivir

นัยทางการเมือง: Autonomous Design = การทวงคืนอำนาจ

Autonomous Design ไม่ใช่แค่เรื่องของชุมชนเล็กๆ หากแต่มันคือ รูปแบบของการเมืองจากฐานล่าง

เพราะ:

  • มันท้าทายการผูกขาดอำนาจในการออกแบบชีวิตของรัฐและตลาด
  • มันเปิดพื้นที่ให้ชุมชนคิดใหม่เกี่ยวกับสิ่งที่ “จำเป็น” และ “พึงประสงค์”
  • มันตั้งคำถามกับโมเดลการพัฒนาที่ผูกติดกับการเติบโตแบบไม่รู้จบ
  • Escobar ชี้ว่า การออกแบบเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้าง “ระบบทางเลือก” แต่คือ การเปลี่ยนโครงสร้างของโลกทัศน์ (ontological shift)
  • คือการเปลี่ยนจากโลกที่ควบคุม → สู่โลกที่เชื่อมโยง
  • จากอำนาจเดี่ยว → สู่ความสัมพันธ์พหุภาคี
  • ความท้าทาย: ไม่ใช่การโรแมนติก แต่คือการสร้างโลกที่มีชีวิตจริง
  • Escobar ยอมรับว่า แนวคิด Autonomous Design มีความเสี่ยงอยู่หลายประการ:
  • การโรแมนติกกับวัฒนธรรมพื้นเมือง โดยไม่เข้าใจความซับซ้อนหรือความขัดแย้งภายใน
  • การตกหลุมกับดักของ “ความบริสุทธิ์” โดยไม่ยอมรับการผสมผสานหรือความเปลี่ยนแปลง
  • ความยากในการขยายผลในสังคมที่ยังมีอำนาจไม่เท่ากัน
  • แต่เขายืนยันว่า สิ่งเหล่านี้คือ ความท้าทายที่จำเป็นต้องเผชิญ หากเราต้องการความยุติธรรมอย่างแท้จริง

บทสรุป: การออกแบบในมือของผู้คน คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนโลก

  • Autonomous Design ไม่ใช่โมเดลหรือสูตรสำเร็จ
  • แต่มันคือคำเชื้อเชิญให้ ชุมชนฟื้นคืนอำนาจในการออกแบบโลกของตนเอง
  • และให้นักออกแบบจากภายนอก ลดบทบาท “ผู้เชี่ยวชาญ” และกลายเป็น “ผู้รับฟัง ผู้ประคับประคองกระบวนการ”
  • การออกแบบในโลกแบบ Pluriverse จึงไม่ใช่การนำเสนอ “ทางออก” สำหรับทุกคน
  • แต่คือการ เปิดพื้นที่ให้หลายโลกได้ออกแบบเส้นทางของตนเอง บนความสัมพันธ์ที่เคารพและเท่าเทียม
  • ในโลกที่เต็มไปด้วยวิกฤต การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงอาจไม่เริ่มจากนวัตกรรมล้ำสมัย แต่เริ่มจากคำถามว่า:

“เราพร้อมหรือยังที่จะคืนอำนาจในการออกแบบชีวิต ให้กับผู้คนที่เคยถูกทำให้เงียบเสียง?”

Scroll to Top