THAI CLIMATE JUSTICE for All

ศิลปะบำบัดกับวิกฤติสิ่งแวดล้อม: กรอบดำเนินงานเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม

เขียนโดย Heather McLaughlin และ Deborah Seabrook
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง The creative arts therapies and the climate crisis: Toward a framework for intentional engagement

นอกจากประโยชน์ในเชิงอาชีพแล้ว ความรู้และทักษะที่เป็นสหวิทยาการในศิลปะบำบัดยังมีศักยภาพที่สนับสนุนการออกแบบ เชื่อมโยง สรรสร้าง และเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนกว่าได้ ในวิถีชีวิตประจำวันของชุมชน นักศิลปะบำบัดหลายคนมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการรณรงค์เคลื่อนไหวในชุมชนและองค์กรรากหญ้าเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ชุมชนนักศิลปะบำบัดรวมเอากลุ่มที่นักศิลปะบำบัดแต่ละคนจะสามารถมาใช้เวลาร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์ และการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่หาแนวทางการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีความหมาย ตัวอย่างของกลุ่มหรือองค์กรดังกล่าวได้แก่ Climate-Informed Counsellor Chapter of the Canadian Counseling and Psychotherapy Association (CCPA) และ Climate Psychology Alliance ทั้งสององค์กรมีนักศิลปะบำบัดเป็นสมาชิกร่วมอยู่ด้วย แนวทางนี้ทำให้สหภาพแห่งนักศิลปะบำบัดสามารถสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชนและร่วมมือกันออกแบบการบำบัดที่เชื่อมโยงปัจจัยทางภูมิสภาปัตย์เข้ากับปัจจัยอื่นๆ และช่วยพัฒนาศิลปะบำบัดสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่นสร้างสรรเครื่องมือ คอร์สฝึกอบรม และเครือข่ายที่ทำงานเพื่อต่อสู้กับวิกฤติสิ่งแวดล้อม

คำถามสำหรับการอภิปราย

  • ทางเลือกใดบ้างที่เป็นปัจจัยสนับสนุน ∞ อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงด้านการยังชีพ?
  • องค์ความรู้ ทักษะ คอนเนคชั่น หรือทรัพยากรอื่นๆอะไรบ้างที่เราต้องใช้ในการสนับสนุนกลุ่มเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ยั่งยืน?
  • ทรัพยากรอะไรบ้างที่มีอยู่และนำมาใช้ได้เลย อะไรบ้างที่ต้องรอ และอะไรบ้างที่ต้องปล่อยให้ผู้อื่นใช้?

หมวดที่ 4: เวลา

หมวดเวลานี้พิจารณาวิธีการที่เรารับรู้และจัดการภาวะโลกร้อนจากวิสัยทัศน์ร่วมสมัย รวมถึงการสร้างแนวคิดจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การดำเนินการในแต่ละยุคสมัย และการดำเนินการข้ามยุคสมัย และชวนให้เราพิจารณาระนาบเวลา เช่นเวลาทางภูมิศาสตร์ อายุขัยของมนุษย์ และช่วงเวลาของแต่ละยุคที่แตกต่างกัน เราต้องการให้นักศิลปะบำบัดหาแนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและวิกฤติสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น นักศิลปะบำบัดอาจหาวิธีรวบรวมแนวความคิดจาก 7 ยุคสมัยใน The Great Law of Haudenosaunee Confederacy ที่ “คนในแต่ละยุคสมัยมีความรับผิดชอบที่ต้องช่วยให้คนในยุคที่ 7 อยู่รอดได้” การตีความด้านเวลาเช่นนี้ขัดแย้งเป็นอย่างมากกับชีวิตที่เร่งรีบในยุคทุนนิยมในปัจจุบัน ที่ผู้คนเร่งรีบทำงานให้ลุล่วงไปตามเป้าหมายของแต่ละวันโดยไม่หยุดคิดถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับคนรุ่นหลัง

แนวคิดเรื่องเวลายังสามารถรวมเอาการประเมินว่าสิ่งใดที่นักศิลปะบำบัดควรกระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสิ่งใดที่ควรลงมือทำโดยเร่งด่วน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องเร่งด่วนสำหรับทุกอาชีพรวมถึงนักศิลปะบำบัดได้แก่การลดก๊าซเรือนกระจก ส่วนการเปลี่ยนแปลงบางอย่างต้องให้เวลามากกว่าอันเนื่องจากความอุ้ยอ้ายของระบบ และกระบวนการเปลี่ยนแปลงจะต้องคำนึงถึงความเป็นธรรม ความหลากหลาย และการมีส่วนร่วมด้วยการฟังเสียงของทุกคนรวมทั้งคนกลุ่มน้อย ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้เวลามาก สำหรับการเริ่มต้นแล้ว การกระจายการดำเนินงานจากศูนย์กลางอาจถ่วงให้กระบวนการช้าลง แต่ก็จำเป็นเพราะจะทำให้ผลงานออกมาดีขึ้น กระบวนการรับฟังและร่วมมือกันในระหว่างผู้คนที่มีพื้นฐานและระดับความรู้ที่แตกต่างกันเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนนั้นจะต้องใช้เวลา แต่ก็ทำให้เสียเวลาอันมีค่าไปมากเช่นกัน ซึ่งนักศิลปะบำบัดจะต้องมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาจากทุกฝ่ายโดยไม่ยอมแพ้หากต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดหมายไว้

คำถามสำหรับการอภิปราย

  • งานและการตัดสินใจในแตละเรื่องของคุณจะส่งผลต่อคนรุ่นต่อๆไปอย่างไร? ถ้าคิดถึงเรื่องนี้แล้ว มันจะมีผลต่อการตัดสินใจของคุณหรือไม่?
  • ผลกระทบข้ามรุ่นที่เกิดจากภาวะโลกร้อนจะส่งผลต่อตัวคุณเอง ผู้รับการอบรม และชุมชนอย่างไร? และองค์ประกอบของระบบอย่างวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และอื่นๆส่งอิทธิพลต่อคนแต่ละรุ่นอย่างไร?
  • เมื่อคุณตระหนักว่าคุณมีเวลาเหลืออยู่เพียงน้อยนิดที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะสายเกินไป งานที่เกี่ยวกับการสร้างความยั่งยืนชิ้นไหนของคุณที่จะต้องเร่งมือให้เสร็จทันเวลา? และงานชิ้นไหนที่รอก่อนได้เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและกว้างขึ้น?

หมวดที่ 5: การตอบสนองทางอารมณ์

หมวดนี้เป็นเรื่องของการรับรู้และการตอบสนองทางอารมณ์ของมนุษย์ต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างหนึ่งได้แก่ศัพท์ใหม่ Solastalgia ซึ่งมีคำนิยามว่า “อาการเจ็บปวดหรือเจ็บป่วยที่เกิดจากการสูญเสียหรือขาดกำลังใจและความโดดเดี่ยวที่เกี่ยวข้องกับสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นกับบ้านหรืออาณาเขตที่พักอาศัยของคนๆหนึ่ง” การขยายคำศัพท์ในปทานุกรมที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนทำให้นักศิลปะบำบัดสามารถทำความเข้าใจประสบการณ์ของผู้เข้ารับการอบรมได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ความอยากรู้อยากเห็นว่าการตอบสนองทางอารมณ์ต่อภาวะโลกร้อนจะสามารถช่วยให้นักบำบัดสามารถเข้าถึงประสบการณ์ของผู้คนได้อย่างไร และนักบำบัดสามารถนำเอาวงจรภาวะทางอารมณ์ที่มีต่อภาวะโลกร้อนที่ออกแบบโดย Climate Mental Health Network มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสำรวจอารมณ์ของผู้รับการอบรมได้ แม้ว่าโมเดลการบำบัดโดยใช้ศิลปะต่างๆก็สามารถใช้ในการสำรวจและปลอบโยนภาวะทางอารมณ์ได้เช่นกัน แต่งานวิจัยด้านสุขภาวะทางจิตที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมจะอธิบายความซับซ้อนของการตอบสนองทางอารมณ์ต่อภาวะโลกร้อนได้ดีกว่า

การแปลความการตอบสนองทางอารมณ์ต่อภาวะโลกร้อน

วิกฤติสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อนอาจทำให้คนเราเกิดอารมณ์ที่แตกต่างและผสมผสานกันไปในแต่ละคน เช่นเดียวกับการตีความอารมณ์เหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่นการเห็นข่าวภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างอุทกภัยอาจทำให้ผู้ชมทุกข์ใจแทนผู้ประสบภัย กลัวว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับตนเองและคนที่รัก และได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจหากเห็นภัยพิบัติเข้ามาใกล้ตัว เช่นระดับน้ำใกล้บ้านเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันเหตุการณ์นี้อาจทำให้เกิดอาการด้านชาในคนบางกลุ่มที่ห่างไกลจากผลกระทบ และตีความว่าความด้านชานี้คือความไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ในทางตรงกันข้าม การตอบสนองทางอารมณ์นี้อาจเข้าใจได้ว่าเป็นความกลัวจนนิ่งอึ้ง ซึ่งจะไม่ถูกตีความว่าเป็นความไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นอีกต่อไป แต่เป็นความกลัวต่อภัยพิบัติอย่างสุดขีด ความเข้าใจในอารมณ์ที่แตกต่างกันนี้ทำให้เราสื่อสารข้อมูลอย่างแตกต่างกัน และเป็นพื้นที่ในการเลือกที่จะลงมือทำหรือไม่ทำอะไร

การแสดงอารมณ์ตอบสนองต่อภาวะโลกร้อน

เราสามารถตีความการตอบสนองทางอารมณ์ต่อภาวะโลกร้อนจากการแสดงออก เช่นการกระทำ การสื่อสาร และการแสดงออกในรูปแบบอื่นๆ การตอบสนองทางอารมณ์ต่อการได้เห็นอุทกภัยในข่าวอาจทำให้เกิดการตอบสนองได้หลายรูปแบบเช่นเลิกดูข่าว พูดคุยกับเพื่อนๆหรือญาติพี่น้องเพื่อเตรียมการสำหรับอนาคต หรือลงมือปรับปรุงที่อยู่อาศัย หรือเราอาจตกอยู่ในภาวะช็อค หาอย่างอื่นทำเพื่อหันเหความสนใจของตนเอง หรือหากลยุทธ์ในการหลบเลี่ยง แนวทางตอบสนองทางอารมณ์ต่อภาวะโลกร้อนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อตัวเรา ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสิ่งอื่นๆ และทางเลือกของเรา

คำถามสำหรับการอภิปราย

  • อารมณ์แบบใดที่มักเกิดขึ้นเมื่อเราเผชิญหน้ากับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน? และอารมณ์เหล่านั้นส่งอิทธิพลอย่างไรต่อเราบ้าง?
  • อารมณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้อมูลที่สำคัญๆเกี่ยวกับประสอบการณ์ต่อภาวะโลกร้อนอย่างไรบ้าง?
  • กระบวนการบำบัดใดบ้างที่ช่วยให้ผู้รับการอบรมแสดงอารมณ์ของตนออกมา?
  • เราจะใช้ศิลปะแปลงอารมณ์เหล่านี้ให้กลายมาเป็นการกระทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร?

หมวดที่ 6: ศีลธรรมและจรรยาบรรณ

ในหมวดนี้เราจะสำรวจแนวคิดด้านคุณธรรม ศีลธรรม และจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน ในเรื่องของศีลธรรมนั้น เราใช้มุมมองด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศมาพิจารณาศีลธรรมแต่ละข้อเพื่อนำมาออกแบบกระบวนการศิลปะบำบัด ยกตัวอย่างเช่นคีตบำบัดในแคนาดาอาจดำเนินการภายใต้จรรยาบรรณและมาตรฐานข้อปฏิบัติของสมาคม Canadian Association of Music Therapists และในขณะเดียวกันก็ทบทวนปรับปรุงข้อจรรยาบรรณและมาตรฐานข้อปฏิบัติของสมาคมไปด้วย ส่วนสมาคม British Association of Art Therapists ก็ทำงานเพื่อสร้างความยั่งยืนและตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เราขอให้นักศิลปะบำบัดสังเกตการทำผิดจรรยาบรรณที่ถูกกระตุ้นโดยภาวะโลกร้อนที่นักวิเคราะห์ด้านจิตวิทยา Sally Weintrobe ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้ :

“เศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ทำลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนส่วนใหญ่อยู่แทบจะตลอดเวลาในทุกๆวัน การที่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้อาจทำให้ท้อแท้และหนักใจ ใครล่ะที่อยากจะรู้สึกกังวลกับสภาพภูมิอากาศในอนาคตในขณะที่ขับรถไปรับลูกหลานที่โรงเรียน? ใครล่ะที่อยากรู้สึกผิดที่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสทุนนิยมที่บ่อนทำลายสิ่งแวดล้อมอยู่ในปัจจุบัน? ถึงแม้ว่าการศึกษาความซับซ้อนด้านศีลธรรมที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนจะเป็นเรื่องที่ยากและอาจก่อให้เกิดทุกข์ แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อนักศิลปะบำบัดในการเข้าถึงความเป็นจริงของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อมนุษย์”

คำถามสำหรับการอภิปราย

  • มาตรฐานทางศีลธรรมของอาชีพของคุณมีอะไรบ้าง อะไรที่ยังไม่มีและคุณต้องการเสนอเพิ่มเติม?
  • คุณเคยทำผิดมาตรฐานทางศีลธรรมของอาชีพของคุณเพราะภาวะโลกร้อนบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไรต่อมาตรฐานทางศีลธรรมของอาชีพที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน? อะไรบ้างที่คุณต้องเสียสละหรือไม่สามารถกระทำได้เมื่อต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อนและรับผิดชอบในหน้าที่การงานในเวลาเดียวกัน? และคุณคิดจะแก้ไขอย่างไร?

หมวดที่ 7: การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ

หมวดนี้เป้นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสรรพสิ่งในชีวิตของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงสภาวะทางชีวภาพและความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทฤษฎีระบบมองว่าการเปลี่ยนแปลงมิได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบ แต่ยังเป็นกระบวนการโครงสร้าง บทบาท กฎระเบียบ ลำดับชั้น บริบทในแต่ละระดับ (เช่นโครงสร้างของสังคมที่เป็นแบบรวมศูนย์กลางอย่างที่เราใช้ชีวิตอยู่) รูปแบบของทรัพยากร (ตั้งแต่ทรัพยากรขั้นพื้นฐานสำหรับการเอาชีวิตรอดอย่างอาหาร ไปจนถึงทุนทางสังคมและอำนาจ) โครงสร้างและกระบวนการเช่นลำดับชั้นทางสังคมและการเข้าถึงทรัพยากร และปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบและลำดับชั้นของระบบ

องค์ความรู้ของชนพื้นเมืองประกอบไปด้วยภูมิปัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างสรรพชีวิต “ตะกร้าแห่งความรู้ของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น” ระบุว่า “องค์ความรู้ของชนพื้นเมืองเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย และวัฒนธรรมที่ใหญ่กว่าที่ดำรงอยู่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์ เป็นสิ่งที่แทนวิถีชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องเข้าไปสัมผัสจึงจะเข้าใจได้ และความสัมพันธ์มิได้หมายความเพียงแค่ความสัมพันธ์ระห่างมนุษย์ด้วยกัน แต่ระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกประเภท จิตวิญญาณ บรรพบุรุษ และสิ่งมีชีวิตที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต” องค์ความรู้จะต้องมีลักษณะที่เป็นองค์รวมในระบบการศึกษาเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับชุมชนและพื้นที่ด้วยความเคารพ การเชื่อมโยงนี้มีความสำคัญสำหรับองค์ความรู้ท้องถิ่นมากเพราะเราจะต้องหลีกเลี่ยงการถูกครอบงำโดยความรู้สากลตามแบบฉบับตะวันตกในลัทธิอาณานิคมอย่างที่เคยเป็นมา

นักศิลปะบำบัดจะเข้าถึงองค์ความรู้ของชนพื้นเมืองได้อย่างไรนั้นส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสถานที่พักอาศัยและความสัมพันธ์ระหว่างนักบำบัดและชนพื้นเมือง เมื่อนักศิลปะบำบัดต้องการไตร่ตรองถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบแบบการจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น เขาจะต้องพยายามที่จะไม่รวมเอาองค์ความรู้ของชนพื้นเมืองเข้าไว้กับระบบการศึกษาแบบตะวันตก แต่จะต้องร้อยเรียงองค์ความรู้เข้าด้วยกันโดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป และใช้ตาข้างหนึ่งพิจารณาจุดแข็งขององค์ความรู้ท้องถิ่น ส่วนอีกข้างหนึ่งก็พิจารณาจุดแข็งขององค์ความรู้แบบตะวันตกเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

การมองด้วยตาทั้งสองข้างตามแบบฉบับของชนเผ่า Etuaptmumk นี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสี่ของการะบวนการตัดสินใจเชิงศีลธรรมของสมาคมศิลปะบำบัดแห่งแคนาดา เป็นกระบวนการตัวอย่างที่แสดงการร้อยเรียงองค์ความรู้ท้องถิ่นเข้ากับองค์ความรู้แบบตะวันตกในการบำบัด ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบจะช่วยนักศิลปะบำบัดพัฒนากระบวนการทางสังคมที่จะทำให้ผู้รับการอบรมมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ยกตัวอย่าเช่นผู้รับการอบรมที่ต้องละทิ้งถิ่นฐานเดิมอันเนี่ยงมาจากภาวะโลกร้อนหรือความขัดแย้งทางวัฒนธรรม บ่อยครั้งที่ย่านที่อยู่อาศัยของคนที่มีสถานะภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่ด้อยกว่ามักมีต้นไม้น้อยกว่า ขยะมากกว่า รถรามากกว่า โครงสร้างพื้นฐานคุณภาพต่ำกว่า และอื่นๆที่ทำให้พวกเขาเปราะบางต่อภาวะโลกร้อน ในขณะที่คนร่ำรวยกว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า การคิดอย่างเป็นระบบเช่นนี้จะช่วยให้งานของนักศิลปะบำบัดแตกแขนงกว้างขึ้นและเข้าสู่ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ เช่นนักศิลปะบำบัดอาจเขียนจดหมายถึงบรรณาธิการหรือเจ้าหน้าที่รัฐและชี้ให้เห็นจุดอ่อนในโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อน การช่วยเหลือระบบเช่นนี้ทำให้เกิดวิธีการใหม่ๆเพื่อการเปลี่ยนแปลงโดยที่นักศิลปะบำบัดสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมหรือริเริ่มแก้ปัญหาได้มากขึ้น

คำถามสำหรับการอภิปราย

  • โครงสร้างทางอำนาจ บทบาท และรูปแบบของระบบอะไรบ้างที่มีส่วนสำคัญต่อการทำให้เกิดความเปราะบางทางภูมิอากาศ?
  • บริบทใดบ้าง (เช่นรัฐบาล อุตสาหกรรม อิทธิพลท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือสื่อ) ที่เราต้องทำความเข้าใจก่อนที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง?
  • ส่วนใดของระบบที่ต้องการทรัพยากร (ทุน บุคลากร และอุปกรณ์) เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง?
  • ทำอย่างไรเราจึงจะดึงเอาองค์ความรู้ท้องถิ่นออกมาใช้ได้โดยวิธีร้อยเรียงหรือการมองด้วยตาทั้งสองข้าง?

บทอภิปราย

กรอบแนวคิดและแนวปฏิบัติเพื่อการมีส่วนร่วมในระยะตั้งไข่ที่เราเสนอไปแล้วนั้นก็เพื่อให้นักศิลปะบำบัดได้พัฒนาต่อยอดด้านการสำรวจ ศึกษา เชื่อมโยง และดำเนินการกับวิกฤติสิ่งแวดล้อม เป็นแนวทางที่นักศิลปะบำบัดใช้อธิบายประสบการณ์และความเข้าใจของพวกเราต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่ได้รับอิทธิพลจากอำนาจทับซ้อน ตำแหน่งที่ตั้งทางสังคม และความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ประสบการณ์ต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่พบหลากหลายในศิลปะบำบัด

ในขณะที่เรามุ่งเป้าที่จะสร้างกรอบแนวคิดแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับศิลปะบำบัด เราก็ต้องตระหนักว่าความเข้าใจของเราได้รับอิทธิพลจากตำแหน่งที่ตั้งทางสังคม ภูมิศาสตร์ ประสบการณ์ อภิสิทธิ์ และองค์ประกอบส่วนบุคคลอื่นๆ เราจึงต้องเปิดโอกาสและทรัพยากรให้แก่ผู้เห็นต่าง และสนับสนุนผู้ที่รู้สึกว่าตนเองไม่สะดวก ไม่มีความสามารถ หรือเผชิญอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วม การลงมือปฏิบัติและ/หรือการรณรงค์เรื่องใดๆก็ตามไม่จำเป็นต้องให้ผู้ที่มีส่วนร่วมรู้สึกเกินกำลังของตน นอกจากนี้นักศิลปะบำบัดยังต้องเปิดพื้นที่รับฟังทั้งปัจเจกและกลุ่มจากชุมชนที่ถูกด้อยความสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างเช่นประเทศกำลังพัฒนาที่เปราะบางต่อภาวะโลกร้อน

จากการทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมาพบว่าวิธีการที่จำกัดทำให้เกิดความหลากหลายทางมุมมองและความคิดที่จำกัดตามมา ซึ่งเราจะต้องแก้ไขด้วยการรับรองหลักการขั้นต้นของความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมที่อยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้และวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองที่มักถูกกลืนหายไปในองค์ความรู้แบบตะวันตก ดังที่นักศิลปะบำบัดที่เป็นชนพื้นเมืองสามท่านได้แก่ Fyre Jean Graveline, Jean Tate, และ Jennifer Viviene ได้เสนอต่อสมาคม Canadian Art Therapy Association (CATA) ให้ทบทวนมาตรฐานการศึกษาของแคนาดาให้รับรององค์ความรู้ท้องถิ่นและประสานความเข้าใจระหว่างคนเมืองและคนท้องถิ่น แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมิใช่เรื่องง่ายและต้องใช้การมีส่วนร่วมทางอารมณ์ความรู้สึกของผู้เข้ารับการอบรมเป็นอย่างมากเพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์ขึ้น

ก้าวต่อไป

ขั้นตอนต่อไปในอนาคต เราต้องการให้ศิลปะบำบัดแทรกซึมหรือรวมตัวเข้ากับสาขาอาชีพอื่นๆในหลายๆทาง ดังนั้น เราจึงต้องออกแบบบทบาทของศิลปะบำบัดในบริบทอาชีพที่แตกต่างกัน ประการสุดท้าย จุดประสงค์ของกรอบแนวคิด Reflective Climate Engagement Framework นี้มิได้เป็นไปเพื่อที่จะสอนนักศิลปะบำบัดว่าพวกเขาควรจะรวมเอาเรื่องวิกฤติสิ่งแวดล้อมเข้าไปในกระบวนการบำบัดของตนหรือไม่อย่างไร หรือเมื่อไร แต่ควรต้องจับประเด็นด้านศีลธรรมและวิธีการที่ดีที่สุดที่จะสอดแทรกเนื้อหาเรื่องวิกฤติภูมิอากาศที่สนับสนุนกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางและเน้นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของสรรพสิ่ง

นักศิลปะบำบัดต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาใช้กรอบแนวคิดข้างต้นเพื่อสอดแทรกเนื้อหาเรื่องวิกฤติภูมิอากาศเข้าไว้ในกระบวนการของตน องค์ความรู้แบบรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางตามแบบฉบับตะวันตกจะหาทางส่งอิทธิพลเข้ามาอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าจะมีงานวิจัยมากมายที่รับรองประโยชน์ของการใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ นักบำบัดก็ต้องระวังมิให้ผู้เข้าอบรมนำทรัพยากรธรรมชาติออกมาจากแหล่งเดิมโดยมิได้เติมกลับเข้าไปให้เหมือนเดิมมิฉะนั้นกระบวนการบำบัดก็จะเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมเสียเอง นักศิลปะบำบัดอาจใช้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติในวัฒนธรรมชนพื้นเมืองสาเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติการ

นอกจากนี้นักศิลปะบำบัดอาจใช้แนวทางอื่นที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อธรรมชาติ เช่นละเว้นไม่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอนุรักษ์แบบเสรีนิยมใหม่เช่นการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่สนับสนุนการฟอกเขียว พฤติกรรมบริโภคนิยม และความเสแสร้งต่างๆ สื่อสังคมออนไลน์อาจเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในศิลปะบำบัดและยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่นักศิลปะบำบัดจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวังให้สอดคล้องกับแนวคิดคุณค่าของปฏิสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งอยู่เสมอ

การเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์แห่งความเป็นผู้รับจะต้องเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่เอาแต่ได้มาเป็นความสัมพันธ์ที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน เช่นงดการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยแต่ปฏิบัติตนให้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ นักศิลปะบำบัดที่ชื่อ Carolyn Bereznak Kenny ให้นิยามของคำ “Ecology of Being” ในคีตบำบัดว่าเป็นการ “เชื่อมโยงนักบำบัดเข้ากับสภาวะทางจิตของผู้รับการบำบัดและสภาวะของโลกเองด้วย” ในฐานะที่เป็นนักวิชาการท้องถิ่น Kenny ได้ผสานภูมิปัญญาชาวบ้านเข้าไว้ในคีตบำบัดของตน และให้ความเห็นไว้ว่า “กระบวนการและประสบการณ์ทั้งของนักบำบัดและผู้รับการบำบัดคืนพลังงานให้แก่โลก” ซึ่งนักศิลปะบำบัดท่านหนึ่งได้แก่ Bird ได้ชี้ให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักบำบัดและผู้รับการบำบัดและโลกไว้เช่นกันว่า:

“นำเอากระบวนการศิลปะบำบัดออกจากสภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นสู่พื้นที่ที่เป็นที่อาศัยของสรรพชีวิต และใช้การอุปมาอุปมัยให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักบำบัด ผู้รับการบำบัด วัสดุ และสิ่งแวดล้อมที่มีต่อกัน”

บทสรุป เมื่อเราตระหนักดีว่าธรรมชาติกำลังตกอยู่ในอันตรายหากปราศจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ นักศิลปะบำบัดจะต้องให้ความสำคัญกับการรวมเอาแนวคิดเรื่องความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในงานของตน ซึ่งรวมถึงเรื่องจริยธรรม แนวทางบำบัด งานชุมชน การสร้างทฤษฎี และการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร งานที่เกี่ยวกับการสร้างความเปลี่ยนแปลง การรักษา และสร้างสรรสภาพภูมิอากาศที่ดีขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำมือของมนุษย์อยู่ในความรับผิดชอบของเรา และมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเริ่มลงมือทำ เราจึงเสนอกรอบแนวคิดและแนวปฏิบัติที่ผ่านมาทั้งหมดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการในปัจจุบันและเชื้อเชิญให้เกิดความร่วมมือต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน และนักศิลปะบำบัดก็อยู่ในฐานะที่พิเศษที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง

Scroll to Top