THAI CLIMATE JUSTICE for All

Transition Design: การออกแบบเพื่อการเปลี่ยนผ่าน — โครงสร้างใหม่เพื่อโลกที่กำลังแตกสลาย

บทนำ: เราไม่ได้ต้องการแค่ผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ต้องการโลกใหม่

ในศตวรรษที่ 21 เรากำลังเผชิญกับวิกฤตซ้อนทับในหลายมิติ — วิกฤตสภาพภูมิอากาศ วิกฤตความไม่เท่าเทียม วิกฤตจิตวิญญาณ และการล่มสลายของความเชื่อในระบบสมัยใหม่แบบเดิม

  • คำถามคือ: เราจะแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยแนวคิดการออกแบบแบบเดิมได้จริงหรือ?
  • Arturo Escobar ตอบอย่างชัดเจนว่า “ไม่”
  • และเขาเสนอว่าเราต้องเปลี่ยนจาก Design as solution ไปสู่ Design as transition — หรือที่เรียกว่า Transition Design ซึ่งเป็นแนวคิดที่เขานำมาพัฒนาและต่อยอดร่วมกับนักออกแบบเชิงระบบ เช่น Terry Irwin และ Cameron Tonkinwise

Transition Design คืออะไร?

Transition Design คือแนวคิดที่เชื่อว่า:

  • การเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง (systemic change) จำเป็นต้องมี การออกแบบในระดับโครงสร้างและโลกทัศน์ (ontological level)
  • การออกแบบควรไม่เพียงตอบสนองต่อปัญหาเฉพาะหน้า แต่ต้องช่วย “นำทาง” สังคมผ่านการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบที่กินเวลาหลายปีหรือหลายทศวรรษ
  • การเปลี่ยนผ่านไม่ได้หมายถึง “แก้ไขปัญหา” เท่านั้น แต่คือการ สร้างวิถีใหม่ในการดำรงอยู่ร่วมกัน
  • Transition Design จึงยืนอยู่บนฐานของวิสัยทัศน์ที่มองเห็นโลกใหม่ที่ “ควรจะเป็น” และค่อยๆ ออกแบบสถาปัตยกรรมของการเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกนั้น

จากการออกแบบผลิตภัณฑ์ → การออกแบบระบบ → การออกแบบโลกทัศน์

แนวคิด Transition Design ไม่ใช่การปฏิเสธการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการ

แต่มันชวนให้เรา “ยกระดับกรอบคิด” ในการออกแบบ โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับที่เกี่ยวพันกัน:

1. วิสัยทัศน์ระยะยาว (Visioning)

  • เราอยากเห็นโลกแบบไหน?
  • ชุมชนของเราควรดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติในรูปแบบใด?

2. การเปลี่ยนโลกทัศน์ (Ontological and Value Shift)

  • เปลี่ยนจากโลกทัศน์แบบปัจเจก-ควบคุม-เติบโต
  • ไปสู่โลกทัศน์แบบสัมพันธ์-ดูแล-สมดุล

3. การออกแบบระบบเปลี่ยนผ่าน (System Interventions)

  • ตั้งคำถามกับโครงสร้าง เช่น ระบบพลังงาน ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา
  • ใช้เครื่องมือการออกแบบเชิงระบบเพื่อค่อยๆ เปลี่ยนโครงสร้างนั้น

4. การปฏิบัติประจำวัน (Daily Practices)

  • พฤติกรรม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตประจำวันของเราต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่เราวาดไว้
  • Transition Design จึงเชื่อมโยงทุกระดับ: จากนโยบายสาธารณะ ไปจนถึงการกินอยู่ในบ้านและชุมชน

ความสัมพันธ์กับ Pluriverse และ Radical Interdependence

  • Transition Design มีรากอยู่ในแนวคิดเดียวกับ Pluriverse และ Radical Interdependence:
  • หาก Pluriverse คือโลกที่มีหลายโลก
  • Radical Interdependence คือสายใยความสัมพันธ์ที่เชื่อมโลกเหล่านั้น
  • Transition Design คือ เครื่องมือในการ “พา” โลกใบหนึ่งไปสู่การดำรงอยู่ในรูปแบบใหม่ บนฐานของความสัมพันธ์และความหลากหลาย
  • Escobar เสนอว่า Transition Design ต้องเริ่มจากการฟังเสียงของโลกทัศน์ต่างๆ และยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านจะมีหลายเส้นทาง
  • ไม่ใช่การสร้างแผนแม่บทหนึ่งเดียวสำหรับโลกทั้งใบ แต่คือการออกแบบพื้นที่การเปลี่ยนผ่านที่หลากหลายและเหมาะสมกับบริบทแต่ละที่

ตัวอย่างการนำแนวคิด Transition Design ไปใช้

1. ชุมชนพื้นเมืองที่ออกแบบระบบปกครองตนเอง

  • การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพารัฐ → สู่การปกครองตามวิถีดั้งเดิม
  • ไม่ใช่แค่ “รื้อ” ระบบเดิม แต่คือการ “ฟื้น” ระบบที่เคยถูกทำให้เงียบเสียง

2. เมืองที่พยายามลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

  • เปลี่ยนระบบพลังงาน → ควบคู่กับการเปลี่ยนพฤติกรรม วัฒนธรรม และจินตนาการของผู้คน
  • ไม่ใช่แค่ใช้เทคโนโลยีสะอาด แต่ต้องเปลี่ยนวิธีเข้าใจ “ความพอเพียง” และ “คุณภาพชีวิต”

3. ระบบการศึกษาทางเลือก

  • จากการเรียนรู้แบบครูสอน–นักเรียนจำ → สู่การเรียนรู้เชิงสัมพันธ์กับชุมชน ภูมิทัศน์ และสิ่งมีชีวิตอื่น
  • เปลี่ยนบทบาทโรงเรียนจาก “สถาบันผลิตแรงงาน” → เป็น “พื้นที่สร้างโลกทัศน์ใหม่”

การเปลี่ยนบทบาทของนักออกแบบใน Transition Design

Escobar เสนอว่า นักออกแบบในยุคของการเปลี่ยนผ่าน ไม่ควรเป็นผู้แก้ปัญหา แต่เป็นผู้เอื้อกระบวนการ (facilitator)

บทบาทใหม่ประกอบด้วย:

  • ผู้ฟังเชิงลึก (deep listener)
  • เข้าใจความกลัว ความฝัน และประวัติศาสตร์ของผู้คนในพื้นที่
  • ผู้ออกแบบพื้นที่การเปลี่ยนผ่าน (designing for transitions)
  • วางโครงสร้างที่จะค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรม วัฒนธรรม และระบบที่ฝังลึก
  • ผู้เชื่อมโยงโลกหลายใบ (mediator of ontologies)
  • ประสานความเข้าใจระหว่างวิทยาศาสตร์, ความรู้ท้องถิ่น, จิตวิญญาณ และวิถีของชีวิตอื่นๆ

ข้อวิจารณ์และข้อเสนอแนะจาก Escobar

  • Escobar ไม่มองว่า Transition Design คือคำตอบสมบูรณ์
  • แต่เขามองว่ามันคือ “เครื่องมือหนึ่งในคลังอาวุธของการเปลี่ยนแปลง” ที่ต้อง:
  • ไม่ถูกทำให้กลายเป็นสูตรสำเร็จ ที่องค์กรใช้แบบกลไก
  • ไม่ละเลยอำนาจและการเมือง เพราะการเปลี่ยนผ่านที่แท้จริงต้องปะทะกับอำนาจเดิม
  • ไม่หลงใหลใน “วิสัยทัศน์” จนละเลยความทุกข์ของผู้คนที่กำลังอยู่ในวิกฤตปัจจุบัน
  • เขาเสนอให้เรามอง Transition Design เป็น พื้นที่ทดลอง (living laboratory) ที่ต้องเปิดรับความล้มเหลวและเรียนรู้ร่วมกัน

บทสรุป: การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เริ่มต้นจากการเปลี่ยนโลกทัศน์

Transition Design คือหัวใจของ Designs for the Pluriverse เพราะมันเชื่อว่า:

เราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงระบบได้ ถ้าเราไม่เปลี่ยนวิธีมองโลก

ในโลกที่แตกสลายจากตรรกะเดิม Escobar เสนอว่า “การออกแบบไม่ใช่แค่เครื่องมือในการสร้าง แต่เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนผ่านร่วม”

และหากเราจะก้าวไปสู่โลกที่มีความหลากหลาย ยั่งยืน และยุติธรรมอย่างแท้จริง เราต้อง:

ไม่เพียงเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ แต่เปลี่ยนโครงสร้าง

ไม่เพียงคิดแบบใหม่ แต่สร้าง “ระบบที่เอื้อต่อการคิดแบบใหม่”

ไม่เพียงใช้การออกแบบเพื่อแข่งขันในตลาด แต่ใช้การออกแบบเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับโลก

นี่คือ Transition Design: การออกแบบเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ลึกกว่าผลิตภัณฑ์ — และลึกถึงระดับที่เปลี่ยนอนาคตได้จริง

Scroll to Top