THAI CLIMATE JUSTICE for All

ปัญหาหมอกควันและไฟป่าในภาคเหนือของประเทศไทย ผ่านกรอบแนวคิด “การเมืองของความเสี่ยงและความมั่นคงทางชีวการเมือง” ของ Andrew Lakoff

ปัญหาหมอกควันและไฟป่าในภาคเหนือของประเทศไทย เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปีในช่วงฤดูแล้ง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะใช้มาตรการที่เข้มงวด เช่น นโยบาย Zero Burn ที่ห้ามการเผาอย่างเด็ดขาด และการใช้เทคโนโลยีในการเฝ้าระวังและตรวจสอบพื้นที่ป่า แต่ปัญหานี้กลับไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน การวิเคราะห์ปัญหานี้ผ่านกรอบแนวคิด “การเมืองของความเสี่ยง” (Politics of Risk) และ “ความมั่นคงทางชีวการเมือง” (Biopolitical Security) ของ Andrew Lakoff ช่วยให้เราเข้าใจมิติทางสังคมและการเมืองที่แฝงอยู่ในการจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างลึกซึ้งมากขึ้น

1. การเมืองของความเสี่ยงและความมั่นคงทางชีวการเมือง: เครื่องมือควบคุมและกำหนดระเบียบสังคม

1.1 การสร้างวาทกรรม “ความเสี่ยง” เพื่อขยายอำนาจรัฐ

  • Lakoff ชี้ให้เห็นว่า “ความเสี่ยง” ไม่ได้เป็นเพียงการคาดการณ์หรือจัดการสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน แต่ยังเป็น “เครื่องมือในการกำหนดระเบียบทางสังคมและขยายขอบเขตอำนาจของรัฐ” ในกรณีของหมอกควันและไฟป่า รัฐไทยได้ใช้วาทกรรม “ภัยคุกคามต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม” เป็นข้ออ้างในการกำหนดมาตรการเข้มงวด เช่น Zero Burn เพื่อควบคุมพฤติกรรมของชุมชนท้องถิ่นโดยไม่ได้คำนึงถึงบริบททางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของผู้ได้รับผลกระทบ
  • ตัวอย่าง การประกาศห้ามเผาในฤดูแล้ง โดยมองว่าการเผาของเกษตรกรและชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองเป็นต้นเหตุหลักของปัญหาหมอกควัน ทั้งที่การเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกหรือการทำไร่หมุนเวียนเป็นวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับระบบนิเวศมาเป็นเวลานาน

1.2 ความมั่นคงทางชีวการเมือง: การควบคุมชีวิตและสุขภาพผ่านการจัดการความเสี่ยง

  • “ความมั่นคงทางชีวการเมือง” (Biopolitical Security) คือการที่รัฐใช้มาตรการควบคุมและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพของประชากร โดยเน้นการสร้าง “ประชากรที่ปลอดภัย” ผ่านการกำหนดพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตของประชาชนในลักษณะที่รัฐมองว่าเหมาะสม
  • ในกรณีหมอกควันและไฟป่า นโยบาย Zero Burn และการเฝ้าระวังการเผาด้วยเทคโนโลยี เช่น การใช้โดรนและระบบ Hotspot Monitoring ทำให้รัฐมีอำนาจในการควบคุมพื้นที่ป่าและกำหนดพฤติกรรมของชุมชนอย่างเข้มงวด ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ตรรกะของความมั่นคงทางชีวการเมืองในการจัดการภัยพิบัติ

2. วาทกรรม “ชุมชนเป็นผู้ก่อปัญหา” และการลดทอนบทบาทของผู้ได้รับผลกระทบ

2.1 การลดทอนบทบาทของชุมชนผ่านการสร้างวาทกรรม

  • Lakoff เน้นว่าการจัดการความเสี่ยงมักมาพร้อมกับการสร้าง “วาทกรรมทางอำนาจ” ที่ทำให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบกลายเป็น “ผู้กระทำผิด” และลดทอนบทบาทของพวกเขาในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
  • ในกรณีนี้วาทกรรมที่มองว่า “ชุมชนท้องถิ่นและเกษตรกรรายย่อยเป็นผู้ก่อปัญหา” จากการเผาป่าเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ทำให้รัฐมีข้ออ้างในการใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการใช้ที่ดินและป่า โดยไม่ได้คำนึงถึงเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนเหล่านั้น

2.2 การละเลยโครงสร้างเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำในระบบการพัฒนา

การแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าที่เน้นการห้ามเผาอย่างเด็ดขาด ละเลยโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแบบกีดกัน ที่ทำให้เกษตรกรรายย่อยต้องพึ่งพาการทำเกษตรเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพดหรือมันสำปะหลัง เพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ การปลูกพืชเหล่านี้มักต้องพึ่งพาการเผาเพื่อปรับสภาพดิน แต่รัฐกลับมองข้ามปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้และเลือกใช้มาตรการลงโทษชุมชนท้องถิ่นแทน

3. ความเข้าใจผิดและอคติของสังคมต่อชุมชนในพื้นที่ป่า

3.1 อคติและการมองปัญหาผ่านกรอบวาทกรรม “สิ่งแวดล้อมนิยมแบบเมือง”

  • หนึ่งในอุปสรรคสำคัญในการแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่าคือ “ความเข้าใจผิดและอคติของสังคมภายนอก” โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเขตเมืองหรือพื้นที่ห่างไกลจากปัญหา คนกลุ่มนี้มักรับรู้ข้อมูลผ่านสื่อและวาทกรรมที่เน้นว่า “การเผาป่าโดยชุมชนในพื้นที่ป่าเป็นสาเหตุหลักของปัญหา” โดยไม่มองเห็น “โครงสร้างเศรษฐกิจและการพัฒนาแบบกีดกัน” ที่ผลักให้ชุมชนต้องพึ่งพาการเผาเพื่อความอยู่รอด
  • ตัวอย่าง สังคมเมืองมักมองว่าการเผาป่าเป็น “ความไม่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม” โดยละเลยความจริงที่ว่าการทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนและการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกเป็นวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับระบบนิเวศมาเป็นเวลานาน และไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของปัญหาหมอกควัน

3.2 การละเลยความซับซ้อนของปัญหาเชิงโครงสร้าง

การรับรู้ของคนภายนอกมัก ละเลยความซับซ้อนของปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่เป็นรากเหง้าของปัญหาหมอกควันและไฟป่า เช่น

  • การขาดทางเลือกทางเศรษฐกิจของเกษตรกรรายย่อย
  • การพึ่งพาการเกษตรเชิงเดี่ยวที่ต้องใช้การเผาเพื่อปรับสภาพดิน
  • การจัดสรรทรัพยากรและสิทธิในที่ดินที่ไม่เป็นธรรมต่อชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง
  • การมองปัญหาเพียงผิวเผินโดยเน้นโทษชุมชนท้องถิ่น ส่งผลให้ นโยบายและมาตรการของรัฐเน้นการควบคุมและลงโทษ มากกว่าการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง

4. ข้อเสนอเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและลดอคติต่อชุมชนท้องถิ่น

4.1 การให้ความรู้และปรับเปลี่ยนวาทกรรมสาธารณะ

เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า ควรมี “การให้ความรู้สาธารณะ” เกี่ยวกับบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ป่า เพื่อทำลายวาทกรรมที่ทำให้ชุมชนกลายเป็นผู้กระทำผิด

ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม

  • จัดแคมเปญ “สื่อสารความจริงเรื่องหมอกควันและไฟป่า” เพื่อให้สังคมเห็นภาพที่แท้จริงของสถานการณ์และเข้าใจถึงเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่ชุมชนต้องเผชิญ
  • ส่งเสริม “การศึกษาสาธารณะเกี่ยวกับวิถีชีวิตชุมชนและการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน” เพื่อทำให้คนภายนอกเข้าใจว่าการทำไร่หมุนเวียนและการเผาแบบมีการควบคุมไม่ใช่สาเหตุหลักของปัญหา

4.2 การสร้างเวทีสนทนาและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเมืองกับชนบท

ควรมีการจัดตั้ง “เวทีสนทนาและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเมืองกับชนบท” เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า โดยให้ชุมชนท้องถิ่นมีโอกาสอธิบายมุมมองและประสบการณ์ของตนเอง

ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม

  • จัด “เวทีเสวนาระหว่างผู้กำหนดนโยบายและชุมชนท้องถิ่น” เพื่อเปิดโอกาสให้ชุมชนได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา
  • สนับสนุนการจัด “ค่ายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น” เพื่อให้คนในเมืองเข้าใจชีวิตและความท้าทายของชุมชนในพื้นที่ป่า

5. เพิ่มกรณีศึกษาที่แสดงความสำเร็จของการจัดการไฟโดยชุมชน

📌 5.1 กรณีศึกษาการจัดการไฟป่าที่ประสบความสำเร็จ

กรณีศึกษาในอินโดนีเซีย โครงการ “Community-Based Fire Management” ในอินโดนีเซียให้ชนพื้นเมืองมีบทบาทหลักในการเฝ้าระวังและจัดการไฟป่า ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่าการให้ชุมชนมีบทบาทในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ช่วยลดอัตราการเกิดไฟป่าและสร้างระบบการจัดการไฟที่ยั่งยืน

กรณีศึกษาในสหรัฐอเมริกา โครงการ “Fire Adapted Communities” ในสหรัฐอเมริกา ช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังและจัดการเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม รวมถึงการสร้างแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟป่าลุกลาม ผลลัพธ์คือความสามารถในการลดความรุนแรงของไฟป่าและปกป้องชุมชนจากผลกระทบที่รุนแรง

6. การเสนอระบบ “แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ” เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่การจัดการไฟที่ยั่งยืน

📌 6.1 สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรรมที่ไม่ใช้การเผา

  • จัดตั้ง “กองทุนสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ต้องพึ่งพาการเผา ไปสู่การทำเกษตรกรรมยั่งยืน เช่น การปลูกพืชผสมผสานหรือการปลูกพืชป่าเศรษฐกิจที่ไม่ต้องเผา
  • ให้ “เงินอุดหนุนหรือเงินชดเชย” สำหรับเกษตรกรที่เลือกใช้วิธีการที่ลดการเผา และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการจัดการเชื้อเพลิงชีวมวล เช่น การทำปุ๋ยหมักหรือการแปรรูปชีวมวล

7. การเน้นบทบาทของภาคประชาสังคมและองค์กรพัฒนาเอกชนในการสร้างความร่วมมือ

📌 7.1 การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและองค์กรพัฒนาเอกชน

  • ให้ภาคประชาสังคมและองค์กรพัฒนาเอกชนมีบทบาทเป็น “ตัวกลาง” ในการสร้างความเข้าใจระหว่างรัฐและชุมชนท้องถิ่น
  • ส่งเสริมให้ องค์กรพัฒนาเอกชนทำงานร่วมกับชุมชน ในการเก็บข้อมูลและสร้างฐานข้อมูลท้องถิ่นเกี่ยวกับไฟป่าและหมอกควัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายร่วมกัน

🎯 บทสรุป การสร้างสมดุลระหว่างการจัดการความเสี่ยงและการเคารพสิทธิ์ของชุมชน

การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าในภาคเหนืออย่างยั่งยืน จำเป็นต้อง “ปรับเปลี่ยนแนวทางจากการควบคุมและลงโทษ” ไปสู่ “การสร้างระบบการจัดการที่มีส่วนร่วมของชุมชน” ที่ให้ความสำคัญกับ ความเป็นธรรมทางสังคมและการเคารพสิทธิ์ในการจัดการทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่น การสร้างความร่วมมือที่แท้จริงระหว่างรัฐและชุมชนจะช่วยให้การแก้ปัญหาหมอกควันและไฟป่ามีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว โดยเปิดพื้นที่ให้เสียงของชุมชนมีบทบาทในการกำหนดอนาคตของตนเอง ขณะเดียวกัน การทำลายอคติและวาทกรรมที่ทำให้ชุมชนกลายเป็นผู้กระทำผิด จะช่วยให้สังคมเห็นภาพที่แท้จริงและเปิดทางสู่การสร้างนโยบายที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น

Scroll to Top