
เผยแพร่โดย The Solutions Project
วันที่ 21 มิถุนายน 2024
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง Environmental & Climate Justice Issues
ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหัวข้อในการประชุมอภิปรายในระดับนานาชาติ ผู้คนเริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อวัฒนธรรม การเมือง ข่าวสารกระแสหลัก อาหารที่เราบริโภคในชีวิตประจำวัน และแม้แต่เรื่องของธุรกิจ
ผู้นำทางการเมือง ธุรกิจ จนถึงคนธรรมดาทั่วไปเข้าใจดีว่าภาวะโลกร้อนมิได้ส่งผลกระทบเพียงแค่หมีขั้วโลกบนหิ้งน้ำแข็งในพื้นที่ห่างไกล แต่แสดงผลในทั่วทุกมุมโลกตั้งแต่ฟลอริดาจนถึงอะแลสกา ผลกระทบจากไฟป่า พายุ อุทกภัย และภัยแล้งมักจะรุนแรงกว่าและยากที่จะฟื้นฟูกว่าเสมอสำหรับคนกลุ่มเปราะบางและยากจน
เรามักมองมนุษย์ในแบบที่แยกตัวออกจากธรรมชาติราวกับว่าเราไม่รู้สึกถึงผลกระทบและรู้สึกว่าเราสามารถควบคุมทุกอย่างได้เสมอ แต่ที่จริงแล้วเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฏจักรธรรมชาติและชีวิตบนโลก ภูมิอากาศกำหนดชีวิตมนุษย์ เช่นเดียวกับที่ดวงจันทร์กำหนดน้ำขึ้นน้ำลง ทั้งหมดนี้เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ความเป็นธรรมแปลว่าทุกการกระทำย่อมเกิดผลลัพธ์ตามมา การปล่อยมลภาวะลงในน้ำ ดิน และอากาศเป็นภัยต่อตัวเราเอง ในทางตรงข้าม การอนุรักษ์แหล่งน้ำ ดิน และอากาศที่สะอาดทำให้สิ่งแวดล้อมของเราควรค่าแก่การอยู่อาศัย นอกจากนี้ ความเป็นธรรมยังแปลว่าความเท่าเทียมของคนทุกคนโดยไม่คำนึงถึงพื้นเพทางเศรษฐกิจและสังคม เชื้อชาติ อายุ เพศ หรือปัจจัยอื่นใดก็ตาม เราทุกคนมีสิทธิที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การที่จะทำความเข้าใจเรื่องความเป็นธรรมทางภูมิอากาศได้นั้น เราต้องเข้าใจความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศเสียก่อน นักวิชาการจาก University of Colorado รายหนึ่งได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและมีทรัพยากรในการตั้งรับปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนน้อยที่สุดนั้นเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เป็นสาเหตุของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ ไม่ว่าจะในสหรัฐอเมริกาหรือที่ใดก็ตามในโลก” ผู้คนเหล่านี้มักเป็นชนพื้นเมืองผิวสีของชุมชนท้องถิ่นที่มีรายได้น้อยแต่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงกว่าคนกลุ่มอื่นๆ นี่คือความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศ
การกำหนดนิยามความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ
ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ที่มีทรัพยากรในการแก้ปัญหาอยู่ในมือมากที่สุดใช้ทรัพยากรเหล่านั้นเพื่อปกป้องชุมชนเปราะบาง เช่นชนผิวสีและสตรี เนื่องจากคนเหล่านี้มักอยู่ในด่านหน้าของการต่อสู้กับวิกฤติภูมิอากาศ
ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม ถ้าเราต้องการบรรลุเป้าหมายแรก เราจะต้องบรรลุเป้าหมายที่สองด้วย ตามความหมายที่ให้ไว้โดย Environmental Protection Agency ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมคือ “การปฏิบัติต่อผู้คนทุกเชื้อชาติ สีผิว สัญชาติ หรือฐานะทางการเงินอย่างเท่าเทียมกันในการร่างและบังคับใช้นโยบายและกฎหมายสิ่งแวดล้อม” ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมหมายความว่าชนกลุ่มเปราะบางจะไม่ต้องแบกภาระในการต่อสู่กับภาวะโลกร้อนเพียงลำพัง แต่จะต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆก็ตามที่จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาในภายหลัง
จุดเริ่มต้นของความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกา
ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นจากการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ เช่นการกำหนดพื้นที่ป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติ ต่อมาเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับแหล่งน้ำและอากาศที่สะอาดสำหรับชุมชนที่นำโดย Rachel Carson ต่อมาองค์กร NGO และสื่อมวลชนก็เข้าร่วมการรณรงค์เพื่อสร้างพลังทางสังคมให้ไปกดดันภาคการเมืองให้แก้ปัญหา ทำให้เกิดพรบ. Clean Air Act ปี 1970 และหน่วยงาน Environmental Protection Agency ขึ้น
คดีความด้านสิ่งแวดล้อมหลายคดีในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 พบว่าชุมชนผิวดำลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะมีสุขภาวะและสิ่งแวดล้อมในการทำงานและที่อยู่อาศัยที่ดี ในปี 1991 Dr. Robert D. Bullard ซึ่งเป็นนักวิชาการผิวสีและผู้บุกเบิกเรื่องความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมได้เขียนหนังสื่อเกี่ยวกับความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมเล่มแรกของโลกขึ้น และอีกหนึ่งปีต่อมา สหรัฐฯได้ก่อตั้งหน่วยงาน Office of Environmental Equity ขึ้นภายใต้ Environmental Protection Agency ที่นำมาซึ่งกฎหมายในระดับท้องถิ่น รัฐ และระดับชาติตามมาอีกมาก
จุดกำเนิดของการรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ
การรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศเกิดมาจากการรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม มนุษย์เริ่มพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงทศวรรษ 1980 โดยที่ยังไม่มีความเข้าใจ ผลกระทบ และความเร่งด่วนของปัญหามากนัก เราพยายามจะแก้ไขปัญหาปรากฏการณ์เรือนกระจก แต่ความเสี่ยงดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีใครทราบว่าจุดเริ่มต้นที่แน่ชัดของการรณรงค์ด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศอยู่ตรงไหนกันแน่ แต่จุดเปลี่ยนที่เห็นได้ชัดเกิดขึ้นในปี 2000 เมื่อเครือข่าย Rising Tide จัดการประชุมสุดยอดความเป็นธรรมทางภูมิอากาศในระดับนานาชาติขึ้นเป็นครั้งแรก โดยตั้งใจที่จะจัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับ COP6 ของสหประชาชาติ
อย่างไรก็ตาม COP6 กลับถูกครอบงำโดยสมาชิกประเทศพัฒนาแล้วที่พยายามหา “แนวทางแก้ปัญหา” ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา แม้ว่าการประชุมสุดยอดความเป็นธรรมทางภูมิอากาศคือโอกาสสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในซีกโลกใต้ที่จะเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่ได้ผลสำหรับประเทศของตนเช่นเดียวกับการประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่นๆที่จะตามมา
สิบกว่าปีที่ผ่านมา นักวิชาการและสื่อมวลชนได้คิดคำศัพท์ต่างๆมาใช้เรียกภาวะเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมโลกจากการกระทำของมนุษย์ว่า “global warming” บ้าง “climate change” บ้าง หรือ “climate crisis” คำที่ใช้ทดแทนกันได้เหล่านี้ใช้อ้างอิงถึงปรากฎการณ์ที่อุณหภูมิผิวโลกเพิ่มสูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น และทำให้ประชาชนต้องอพยพละทิ้งถิ่นฐานเดิม
ในปี 2005 ความล่าช้าในการรับมือกับพายุเฮอริเคน Katrina โดยรัฐบาลสหรัฐฯทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อชุมชน ตามมาด้วยการเผยแพร่ภาพยนต์สารคดี An Inconvenient Truth ในปี 2006 ทำให้ประชาชนอเมริกันเริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อชุมชนเปราะบาง ความรับรู้เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนเริ่มขยายตัวออกไปในวงกว้างทีละเล็กละน้อยในเวลาเดียวกับที่ภัยธรรมชาติเกิดบ่อยครั้งขึ้นและรุนแรงขึ้น เริ่มเกิดมีผู้นำการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนในระดับรากหญ้า แต่พวกเขาก็ต้องการการสนับสนุนสำหรับแนวทางแก้ปัญหาที่พวกเขาออกแบบขึ้นมาเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย
หนึ่งในการรณรงค์โดยชนชั้นรากหญ้าที่เริ่มในยุโรปแผ่อิทธิพลทางความคิดเข้ามาในสหรัฐอเมริกาในปี 2019 เป็นการรณรงค์ที่เริ่มจุดประกายขึ้นโดยเด็กคนหนึ่งที่ชื่อ Greta Thunberg
Greta Thunberg ขาดเรียนในวันศุกร์หนึ่งเพื่อไปนั่งที่เชิงบันไดอาคารรัฐสภาสวีเดนเพียงลำพังคนเดียวเพื่อประท้วงต่อการที่เธอเห็นว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลยเพื่อแก้ไขวิกฤติโลกร้อน ต่อมาก็มีเด็กนักเรียนเข้าร่วมประท้วงกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆจนโรงเรียนต้องหยุดทำการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนที่เหลือมาร่วมประท้วง ต่อมาจึงมีการประท้วงเป็นประจำในทุกๆวันศุกร์ และวันนี้ก็กลายเป็นที่จดจำในฐานะที่เป็น Fridays for Future Movement
เป้าหมายการประท้วงคือเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญแก่ความเท่าเทียมและเป็นธรรมทางภูมิอากาศและใช้หลักวิทยาศาสตร์เพื่อลดอุณหภูมิผิวโลกลงให้กลับไปเท่ากับอุณหภูมิในยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม องค์กรที่นำโดยคนรุ่นใหม่นี้เป็นการรณรงค์เคลื่อนไหวด้านความเป็นธรรมทางภูมิอากาศที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดองค์กรในระดับรากหญ้าตามมาอีกมากมายจนปัจจุบัน
ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ: ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
หลักสิทธิมนุษยชนให้การปกป้องทางกฎหมายที่เท่าเทียมต่อคนทุกคนไม่ว่าจะมีพื้นเพหรือเชื้อชาติใด และเนื่องจากภาวะโลกร้อนได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากเป็นชนกลุ่มเปราะบาง ดังนั้น ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศจึงเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน
ไม่ว่าจะเป็นชนผิวดำหรือน้ำตาล สตรี และชนพื้นเมือง ต่างก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติสิ่งแวดล้อมนี้โดยถ้วนหน้า พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เผชิญกับผลกระทบก่อนใครเพื่อน และอุปสรรคเชิงโครงสร้างก็ทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้น ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศที่ชุมชนได้รับ
กรณีของเฮอริเคน Katrina ในปี 2005
ชายฝั่ง Gulf Coast ของสหรัฐอเมริกาเป็นเส้นทางผ่านของเฮอริเคนโดยธรรมชาติ แต่ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ผลจากการทำลายล้างของเฮอริเคน Katrina ทำให้คนอเมริกันได้เห็นความรุนแรงของเฮอริเคนสมัยใหม่เป็นครั้งแรกและเห็นพ้องกันว่าจะต้องมีมาตรการใหม่ๆมาป้องกันและฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้น
เฮอริเคน Katrina เป็นเฮอริเคนระดับ 5 ที่คร่าชีวิตคนไปกว่า 1,000 รายที่อาศัยอยู่ในเขต Gulf Coast ในเมือง New Orleans รัฐ Louisiana สื่อมวลชนลงข่าวที่เต็มไปด้วยภาพของคนผิวดำชาว New Orleans นั่งอยู่บนหลังคาบ้านที่ถูกน้ำท่วมรอความช่วยเหลือ
ผลสำรวจทั่วประเทศหลังพายุผ่านพ้นไปพบว่าคนอเมริกันผิวดำร้อยละ 66 รู้สึกว่ารัฐบาลกลางสามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้เร็วกว่านี้ “ถ้าหากว่าผู้ได้รับผลกระทบเป็นคนผิวขาว” แน่นอนว่าหลังภัยพิบัติครั้งนี้ จำนวนประชากรผิวดำของเมือง New Orleans นั้นลดลง
ตั้งแต่เหตุการณ์เฮอริเคน Katrina เป็นต้นมา ฤดูเฮอริเคนของสหรัฐอเมริกาเกิดบ่อยครั้งขึ้นและรุนแรงขึ้น จากบทเรียนที่ได้จากเฮอริเคน Katrina ทำให้เทศบาลเมือง New Orleans ต้องลุกขึ้นมาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันที่อาจเกิดขึ้นอีก ในขณะที่ชนกลุ่มเปราะบางของเมืองยังคงได้รับผลกระทบจากเฮอริเคนลูกต่อๆมาหลังจากนั้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง (อ่านตอนจบวันเสาร์นี้)
กรณีของไฟป่าและชุมชนพื้นเมืองอเมริกัน ปี 2021
หนึ่งในภัยพิบัติที่เกิดจากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกาได้แก่ไฟป่า ไฟป่าเกิดจากอากาศที่แล้งและลมแรง เป็นภัยธรรมชาติที่ทำลายทรัพย์สินและทำให้ผู้คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังเป็นปัญหาเกี่ยวกับสาธารณสุขเพราะไฟป่าก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่เป้นสาเหตุของโรคหอบหืดและโรคปอด
เมื่อเราพิจารณาถึงการกระจายตัวของประชากรอเมริกันจะพบว่าชนชาวพื้นเมืองอเมริกันเผ่า Latinx อาศัยอยู่ในเขตที่มีความเสี่ยงต่อไฟป่ามากกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆถึงสองเท่าเนื่องจากไม่สามารถหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อื่นๆได้ด้วยราคาที่สูงมาก และในขณะที่ไฟป่าเกิดบ่อยครั้งขึ้นมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แต่ความเสี่ยงต่อความเสียหายที่เกิดจากไฟป่าของคนผิวขาวกลับลดลง
พื้นที่ที่มนุษย์ไม่สามารถอยู่อาศัยได้มีจำนวนเพิ่มขึ้น
ชาวหมู่บ้าน Yu’pik ในอะแลสกาพบว่าพืดน้ำแข็ง Permafrost กำลังละลายและเคลื่อนตัวอยู่ใต้เท้าของตน และเห็นระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจนเข้าท่วมหมู่บ้านและโรงเรียน เมื่อขอร้องให้รัฐบาลกลางย้ายโรงเรียนขึ้นที่สูง คำร้องของพวกเขาก็ถูกปฏิเสธ สถานการณ์เช่นนนี้กำลังเกิดขึ้นกับชุมชนพื้นเมืองอเมริกันทั่วประเทศที่หน่วยงานกลางเพิกเฉยต่อปัญหาของชุมชน
หลักการของความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่เราควรยึดมั่น
ในปี 1991 การประชุมสุดยอดด้านสิ่งแวดล้อมที่จัดโดยชนผิวสีในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและเป็นจุดเริ่มต้นของการประชุมในครั้งต่อๆมา ผลจากการประชุมคือมติในหลักการความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมในแง่มุมต่างๆต่อไปนี้:
- นโยบายสาธารณะที่ปราศจากอคติและสนับสนุนสุขภาวะทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชนเมืองและชุมชนท้องถิ่น
- การใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ
- การปกป้องชุมชนจากขยะพิษแบบเบ็ดเสร็จ
- หยุดการผลิตที่ก่อให้เกิดขยะพิษ หากเกิดขยะพิษ ผู้ก่อจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบตลอดกระบวนการ
- สิทธิของคนผิวสีในการมีส่วนร่วมตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม
- สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย ระบบสาธารณสุข การชดเชยและฟื้นฟูความเสียหายจากอุบัติเหตุ
- ให้การรับรองว่าความไม่เป็นธรรมทางภูมิอากาศคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน
- หยุดการทดลองยารักษาโรคกับคนผิวสี
- การศึกษาแบบมีส่วนร่วม
- การสร้างความยั่งยืนในระดับปัจเจก
- ต่อต้านความรุนแรงที่มักมาจากบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่และกองทัพ
- การบังคับใช้หลักการเหล่านี้ให้เกิดผล
หลักการเหล่านี้นำไปสู่ค่านิยมและการกระทำที่เป็นไปเพื่อสังคมส่วนรวม และค่านิยมก็จะสะท้อนถึงการที่เราสนับสนุนหลักการเหล่านี้อีกต่อหนึ่ง
เราจะสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างไร
เราต้องทำให้การรณรงค์เพื่อความเป็นธรรมทางภูมิอากาศของเรามีความชัดเจนแน่วแน่ เท่าเทียม สนุกสนาน และมีส่วนร่วมจากคนทุกกลุ่ม โดยเน้นไปที่การระดมทุนเพื่อองค์กรระดับท้องถิ่น สตรี และคนผิวสีเพื่อให้พวกเขาลุกขึ้นต่อต้านพลังงานฟอสซิลและสนับสนุนพลังงานทดแทน และความสามารถในการเข้าถึงน้ำสะอาด ดินสะอาด และอากาศที่สะอาด สอง เพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับความเป็นธรรมทางภูมิอากาศผ่านทางวัฒนธรรมป๊อบ เช่นผลิตรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินรายการโดย Don Cheadle และ Mark Ruffalo ประการที่สาม เสนอข่าวสารเกี่ยวกับผู้ที่ต้องรับผิดชอบที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและแนวทางแก้ไขที่เสนอมา และช่วยฝึกอบรมสตรีและคนผิวสีให้สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ สี่ ผลักดันให้ผู้นำชุมชนร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลกลางกำหนดนโยบายต่างๆอ่างมีความเป็นธรรมทางภูมิอากาศ และประการสุดท้าย ยกระดับการรณรงค์โดยผู้นำชุมชนสู่การเคลื่อนไหวในระดับประเทศ ตัวอย่างเช่นการสนับสนุนให้นาย Shalanda H. Baker ที่เป็นอดีตนักรณรงค์ต่อต้านนโยบายพลังงานที่ไม่เป็นธรรมต่อคนผิวสีขึ้นดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายความเป็นธรรมทางพลังงานของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ เป็นต้น