
ผู้เขียนต้นฉบับ: Thomas Hylland Eriksen (มหาวิทยาลัยออสโล)
แหล่งที่มา: Open Encyclopedia of Anthropology (2021)
Climate change
บทนำ มนุษย์กับภูมิอากาศ ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยห่างกัน
แม้ว่าอิทธิพลของมนุษย์ต่อภูมิอากาศจะชัดเจนขึ้นในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา แต่แนวคิดที่ว่าภูมิอากาศมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่ฮิปโปเครติสที่เสนอว่าอากาศ น้ำ และพื้นที่ส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ ไปจนถึงมองเตสกีเยอที่เชื่อว่าอากาศหนาวทำให้คนกระฉับกระเฉง และอากาศร้อนทำให้คนเฉื่อยชา
แม้แนวคิดเหล่านี้จะถูกวิจารณ์ว่าเป็นการเหมารวมแบบสิ่งแวดล้อมกำหนดชีวิตมนุษย์ (environmental determinism) แต่ในยุคปัจจุบัน ความเข้าใจใหม่ได้เกิดขึ้น: ไม่เพียงภูมิอากาศจะมีผลต่อมนุษย์เท่านั้น แต่มนุษย์เองก็ได้สร้างผลกระทบต่อภูมิอากาศในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
เราอยู่ในยุคที่เรียกว่า “Anthropocene”—ยุคที่รอยเท้าของมนุษย์ประทับไว้ในระบบนิเวศของโลกอย่างเด่นชัด ผ่านการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การบริโภคจำนวนมาก และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอย่างกว้างขวาง
ความเร่งของการเปลี่ยนแปลง: ภูมิอากาศและโลกที่ร้อนขึ้น
นักมานุษยวิทยาอย่าง Eriksen ใช้คำว่า “global overheating” เพื่ออธิบายภาวะที่อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 โลกไม่ได้เปลี่ยนแค่ในแง่กายภาพ แต่ยังเปลี่ยนในเชิงวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และจิตวิญญาณ
ในยุคของการเร่ง (acceleration) นี้ สังคมโลกต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ความเปราะบาง และช่องว่างระหว่างการรับรู้กับการกระทำ เช่น เหตุใดทั้งที่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มีมากมาย แต่การดำเนินนโยบายด้านภูมิอากาศกลับเชื่องช้า?
คำตอบบางส่วนอยู่ในโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลก ซึ่งไม่เพียงส่งเสริมการบริโภคอย่างไม่ยั่งยืน แต่ยังทำให้เสียงของผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงถูกกดทับไว้
มานุษยวิทยา เสียงจากภาคสนามและความรู้เชิงลึก
ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอาจมองโลกจากภาพรวม นักมานุษยวิทยาทำงานกับพื้นที่เฉพาะ ชุมชนเฉพาะ และชีวิตจริงของผู้คน โดยใช้วิธีวิจัยแบบชาติพันธุ์วรรณนา (ethnography)
สิ่งที่นักมานุษยวิทยาพบคือ
- ชุมชนพื้นเมืองมีระบบความรู้ในการทำนายฤดูกาลจากดาวกลุ่ม Pleiades
- ชาวปาปัวนิวกินีมีวิธีรับมือกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างเป็นระบบ
- นักอนุรักษ์และชาวประมงเยอรมันมีความตึงเครียดระหว่างการอนุรักษ์และการดำรงชีวิต
การศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ภูมิอากาศไม่ใช่แค่เรื่องของสภาพอากาศเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ วัฒนธรรม การเมือง และอัตลักษณ์
มานุษยวิทยากับโครงสร้างอำนาจ: ทุนนิยม วิกฤต และทางเลือก
นักมานุษยวิทยาหลายคน เช่น Alf Hornborg, Baer และ Singer ได้วิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมว่าเป็นรากเหง้าของปัญหาภูมิอากาศ เพราะมันตั้งอยู่บนสมมติฐานของการเติบโตไม่รู้จบ การแปรทรัพยากรธรรมชาติเป็นสินค้า และการบริโภคพลังงานที่สูงเกินความจำเป็น
ในทางกลับกัน งานวิจัยบางชิ้นก็เสนอทางเลือก เช่น
- ระบบพลังงานทดแทนในเม็กซิโกที่แม้ล้มเหลว แต่เปิดโอกาสให้เห็นความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับโครงการ
- การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในนอร์เวย์และออสเตรียที่เผชิญฤดูหนาวไม่แน่นอน
- ความรู้ท้องถิ่นที่ไม่ได้มาจากการศึกษาอย่างเป็นทางการ แต่มีคุณค่าต่อการออกแบบนโยบาย
บทเรียนจากอดีต: จากยุคโบราณสู่อนาคต
มานุษยวิทยาเกี่ยวกับภูมิอากาศไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่มีรากฐานมาจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมมานานหลายศตวรรษ ตั้งแต่การศึกษาการปรับตัวของชนเผ่าอาร์กติกในศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงการวิเคราะห์ทางสังคมของ Julian Steward และ Leslie White ในศตวรรษที่ 20
สิ่งที่เปลี่ยนไปในศตวรรษที่ 21 คือความเร่ง ความรุนแรง และความเป็นสากลของวิกฤต ซึ่งทำให้มานุษยวิทยาต้องขยายขอบเขตทั้งในเชิงวิธีวิทยาและทฤษฎี เพื่อตอบคำถามที่ไม่เคยมีมาก่อน
ข้อเสนอจากนักมานุษยวิทยา เราควรทำอย่างไร
1. เริ่มต้นจากความเข้าใจท้องถิ่น นโยบายใด ๆ จะไม่สำเร็จ หากไม่รับฟังและเรียนรู้จากชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจริง
2. ยอมรับความหลากหลายของโลก จีนไม่เหมือนเซเชลส์ กรีนแลนด์ไม่เหมือนบังคลาเทศ ความท้าทายจึงไม่อาจแก้ด้วยสูตรเดียวกัน
3. เปิดพื้นที่ให้จินตนาการทางการเมือง การเปรียบเทียบระหว่างสังคมเปิดทางให้เห็นทางเลือกอื่นที่ไม่จำกัดอยู่ในกรอบเดิม
4. ยอมรับว่าความยั่งยืนต้องเปลี่ยนระบบ ทั้งระดับบุคคล ครัวเรือน เมือง และเศรษฐกิจโลก
มานุษยวิทยาของภูมิอากาศ ไม่ใช่แค่การศึกษา แต่คือคำเชิญให้จินตนาการ
บทบาทของนักมานุษยวิทยาในศตวรรษนี้จึงไม่ใช่แค่การสังเกต แต่คือการ แปล โลกของผู้คนให้เข้าใจกันและกันมากขึ้น เป็นผู้เสนอคำถาม และช่วยจินตนาการทางเลือกใหม่ของการอยู่ร่วมกันในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
มานุษยวิทยาของภูมิอากาศจึงไม่ใช่เพียงการศึกษาโลกที่เปลี่ยนแปลง แต่คือการศึกษาว่า เราจะเปลี่ยนไปอย่างไร เพื่ออยู่ในโลกนี้อย่างเข้าใจ และไม่ทำลายกันและกันต่อไป