THAI CLIMATE JUSTICE for All

เมื่อโลกไม่เชื่องอีกต่อไป

Feral Ecology กับความเป็นธรรมในยุคภูมิอากาศปั่นป่วน

“นิเวศวิทยาแบบป่าเกิดขึ้นจากซากปรักหักพังของระบบทุนนิยม ไม่ใช่ในฐานะการฟื้นฟู แต่ในฐานะชีวิตที่ยังคงดำเนินต่อไป” Anna Lowenhaupt Tsing, The Mushroom at the End of the World (2015)

โลกที่ไม่เชื่องอีกต่อไป ศตวรรษที่ 21 คือยุคที่โลกไม่ยอมอยู่ในระเบียบของมนุษย์อีกต่อไป

พายุในฤดูแล้ง ไฟป่ากลางเมือง น้ำทะเลที่กลืนชายฝั่ง ทุกสิ่งกำลังบอกเราว่า ธรรมชาติไม่ได้เป็นระบบที่มนุษย์ “บริหารจัดการ” ได้อีกแล้ว

แนวคิด Feral Ecology หรือ “นิเวศวิทยาแห่งความป่าและการหลุดจากการควบคุม” ซึ่งเสนอโดย Matthew Chrulew และ Anna Tsing ชี้ให้เห็นว่า โลกไม่ได้ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง แต่กำลังฟื้นคืนในรูปแบบที่มนุษย์ไม่ได้เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป มันคือการกลับมาของชีวิตในพื้นที่ที่ระบบทุนนิยมและอุตสาหกรรมทิ้งร่องรอยไว้ โลกที่ “ไม่เชื่อง” แต่ “ยังมีชีวิต”

การเมืองของธรรมชาติที่ไม่ยอมอยู่ใต้การจัดการ Donna Haraway เคยเขียนว่า

“เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความยุ่งเหยิงที่เราก่อขึ้น แทนที่จะเสแสร้งว่าทำได้หมดจดกลับไปเหมือนเดิม”

ประโยคนี้คือหัวใจของ Feral Ecology ซึ่งมองว่าการอยู่ร่วมกับธรรมชาติในยุคนี้ไม่ใช่การ “ควบคุมให้กลับมาเหมือนเดิม”

แต่คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจริง ในประเทศไทย เราเห็นภาพนี้ใน ป่าชายเลนสมุทรสงครามและกระบี่ หลังอุตสาหกรรมบ่อกุ้งล่ม พื้นที่รกร้างหลายแห่งกลับกลายเป็นป่าชายเลนใหม่ ต้นโกงกางและสิ่งมีชีวิตชายฝั่งฟื้นคืนเองโดยไม่มีงบฟื้นฟูนี่คือ “การเมืองของชีวิตหลังทุน” ธรรมชาติที่ประกาศว่าตนยังมีพลังและไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากมนุษย์เพื่อฟื้นตัว

ความเป็นธรรมที่เริ่มต้นจากการฟังเสียงโลก Bruno Latour กล่าวไว้อย่างเฉียบคมว่า

“วิกฤตภูมิอากาศไม่ใช่ปัญหาของสิ่งแวดล้อม แต่คือการล่มสลายของโลกที่มนุษย์เชื่อว่าตนอยู่เหนือธรรมชาติได้”

คำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาสำคัญของ climate justice ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีหรือเงินทุนแต่คือการไม่ฟังเสียงของโลกในภาคเหนือของไทย ชุมชนชาติพันธุ์จำนวนมากเข้าใจ “ไฟ” ในฐานะส่วนหนึ่งของวงจรชีวิตแต่รัฐกลับมองว่าไฟคือศัตรู ต้องดับ ต้องห้ามนั่นคือการปะทะกันของสองญาณวิทยา โลกที่ถูกจัดการ กับโลกที่ยังมีชีวิตของมันเอง เมื่อรัฐไม่ฟังเสียงของป่า ดิน และคนที่อยู่กับป่า ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศก็กลายเป็นเพียงนโยบายเชิงตัวเลขไม่ใช่การอยู่ร่วมกันจริง ๆ

ชีวิตที่งอกงามจากซากของอุตสาหกรรม Anna Tsing เขียนไว้ว่า

“ในซากปรักหักพังของระบบทุน ชีวิตยังดำเนินต่อไป”

เธอยกตัวอย่างเห็ดมัตสึตาเกะ ซึ่งงอกงามเฉพาะในพื้นที่ป่าที่ถูกทำลายจากอุตสาหกรรมตัดไม้ มันเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่รอดจากซากของระบบทุน ชีวิตที่ไม่เชื่องแต่ยังดำรงอยู่ได้ในประเทศไทย เราเห็นสิ่งคล้ายกันใน เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปางหลังหยุดขุดลิกไนต์ พื้นที่บางส่วนกลายเป็นบึงน้ำ มีนกและพืชพื้นถิ่นกลับคืนมา โดยไม่มีโครงการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการนี่คือ “การฟื้นคืนแบบป่า” (feral recovery) ชีวิตที่ฟื้นขึ้นจากซากของการพัฒนา

การเรียนรู้จากความไม่แน่นอน Tim Ingold กล่าวไว้อย่างเรียบง่ายว่า

“การมีชีวิตอยู่คือการเคลื่อนไปร่วมกับโลก ไม่ใช่การควบคุมโลก”

เกษตรกรในอีสานที่ปรับตัวต่อภัยแล้งโดยปลูกพืชหลายชนิด สร้างบ่อเก็บน้ำเล็ก ๆ และฟื้นพันธุ์ถั่วพื้นบ้านที่ทนแล้ง กำลังใช้ชีวิตตามแนวทาง Feral Ecology โดยไม่รู้ตัว พวกเขาไม่ได้ต่อสู้กับความไม่แน่นอน แต่เรียนรู้จะอยู่กับมัน นี่คือการปรับตัวที่ไม่แยกมนุษย์ออกจากโลก แต่เชื่อมตัวเองกลับเข้ากับวงจรของมัน

นโยบายใหม่จากโลกที่ไม่เชื่อง หาก Feral Ecology กลายเป็นกรอบคิดของนโยบายภูมิอากาศ เราจะเห็นการเปลี่ยนผ่านจาก “รัฐผู้ควบคุม” สู่ “รัฐผู้ร่วมเรียนรู้กับโลก” แตกต่างจากแนวทางแบบเทคนิคที่ครอบงำอยู่ในปัจจุบัน

1. จากการควบคุมสู่การอยู่ร่วม

  • นโยบายต้องยอมรับว่าความไม่แน่นอนคือธรรมชาติของชีวิต
  • จึงควรส่งเสริมระบบเกษตรผสมผสาน พื้นที่น้ำหลากตามธรรมชาติ และการฟื้นฟูที่ยืดหยุ่นแทนการสร้างโครงสร้างแข็ง

2. จากการฟื้นฟูสู่การเปิดพื้นที่ให้ธรรมชาติฟื้นตัวเอง

  • สร้าง “เขตฟื้นตัวเอง” (self-rewilding zones)
  • ที่ปล่อยให้ธรรมชาติและชุมชนดูแลร่วมกันโดยไม่ถูกแทรกแซงจากส่วนกลาง

3. จากการรวมศูนย์สู่การกระจายอำนาจสู่ภูมิปัญญาท้องถิ่น

  • ชุมชนที่อยู่กับภูมิอากาศจริงควรเป็นผู้ออกแบบการปรับตัวของตนเอง
  • ไม่ใช่เพียงผู้ปฏิบัติตามแผนของรัฐ

หากรัฐไม่เข้าใจแนวคิดนี้ การเพิกเฉยต่อแนวคิด Feral Ecology ไม่เพียงทำให้การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศล้มเหลว แต่ยังสร้างความเสียหายเชิงโครงสร้างและจิตวิญญาณของสังคม ดังนี้:

1. ระบบนิเวศเสื่อมจากการจัดการเกินจำเป็น การปลูกป่าเชิงเดี่ยว การสร้างเขื่อน หรือโครงการฟื้นฟูขนาดใหญ่ อาจทำลายสมดุลธรรมชาติที่กำลังฟื้นตัวเองอยู่แล้ว เราจะได้ “ป่าที่ตายอย่างเป็นทางการ” เขียวในรายงาน แต่ไร้ชีวิตจริง

2. ชุมชนถูกทำให้สูญเสียงและความรู้ เมื่อรัฐมองชุมชนเป็นผู้รับคำสั่ง ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เคยรักษาความสมดุลกับธรรมชาติจะถูกทำลาย สังคมจึงเหลือแต่ “นโยบายที่ไม่ฟังใคร”

3. งบประมาณสูญเปล่าในระบบที่ไม่เรียนรู้ โครงการที่ไม่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นจะล้มเหลวซ้ำซาก และสร้างความไม่ไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน

4. โลกจะตอบโต้รุนแรงกว่าเดิม การกดทับธรรมชาติให้เชื่องคือการสร้างแรงดันที่รอวันระเบิด โลกจะตอบกลับด้วยภัยที่รุนแรงกว่าเดิม ภัยแล้งยาวนานกว่าเดิม ฝนตกหนักกว่าเดิม โรคระบาดมากกว่าเดิม

แล้วชุมชนควรปรับตัวอย่างไรในโลกแบบ Feral Ecology

1. ฟื้นความสัมพันธ์กับธรรมชาติในพื้นที่ของตน เก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมแบบชุมชน เช่น ปฏิทินเกษตรพื้นบ้าน หรือการสังเกตแม่น้ำ เพื่อเรียนรู้จังหวะของโลกในระดับท้องถิ่น

2. สร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ สร้างระบบเศรษฐกิจชุมชนขนาดเล็กที่ไม่ขึ้นกับตลาดเดียว เช่น การผลิตอาหารหลากชนิด การออมทรัพยากร การแลกเปลี่ยนในชุมชน

3. ออกแบบพื้นที่ร่วมกับธรรมชาติ ทำเกษตรใต้ร่มไม้ ฟื้นป่ารอบลำน้ำ และให้สัตว์ป่า แมลงมีพื้นที่ของตนในระบบอาหาร

4. สร้างวัฒนธรรมแห่งความถ่อมตนต่อโลก การปรับตัวไม่ใช่เรื่องเทคนิคเท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนทัศนคติจาก “เราจะเอาชนะธรรมชาติ” เป็น “เราจะอยู่ร่วมกับชีวิตทั้งหมด”

มิติญาณวิทยาและจิตวิญญาณของโลกที่ไม่เชื่อง รากลึกของวิกฤตภูมิอากาศคือวิธีคิดแบบแยกส่วน ที่ทำให้มนุษย์เห็นโลกเป็นวัตถุ เป็นทรัพยากรที่ต้องควบคุม Feral Ecology เสนอญาณวิทยาแบบใหม่ relational knowing คือการ “รู้ผ่านความสัมพันธ์” มากกว่าการ “รู้เพื่อควบคุม” ญาณวิทยาแบบนี้ใกล้เคียงกับภูมิปัญญาของชนพื้นเมืองทั่วโลก ซึ่งเห็นว่าป่า แม่น้ำ ลม และไฟ ล้วนมีจิตวิญญาณของตน การฟังเสียงโลกจึงไม่ใช่แค่การสังเกตเชิงวิทยาศาสตร์ แต่คือการฟังอย่างเคารพและร่วมรับผิดชอบในฐานะญาติของกันและกัน

บทสรุปการเมืองของความถ่อมตน Feral Ecology ทำให้เราเห็นว่า วิกฤตภูมิอากาศไม่ใช่เพียงเรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเรียกร้องให้มนุษย์ลดอัตตา และกลับมาฟังเสียงของโลก ความเป็นธรรมทางภูมิอากาศจึงไม่ใช่การชดเชยระหว่างคนกับคน แต่คือการคืนสมดุลระหว่างมนุษย์กับชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ ความรอดของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การจัดการโลก แต่อยู่ที่การยอมรับว่าโลกยังมีชีวิต และเราคือส่วนหนึ่งของเธอ นี่คือ “การเมืองของความถ่อมตน” ที่ Feral Ecology มอบให้เรา การเมืองที่ไม่เริ่มจากอำนาจ แต่เริ่มจากการฟังอย่างลึกซึ้งต่อโลกที่ยังคงมีลมหายใจ


References

Anna Lowenhaupt Tsing. The Mushroom at the End of the World: On the Possibility of Life in Capitalist Ruins. Princeton University Press, 2015.

Matthew Chrulew. “Feral Theologies and Ecologies: Decolonizing Nature.” Environmental Humanities, 2020.

Donna J. Haraway. Staying with the Trouble: Making Kin in the Chthulucene. Duke University Press, 2016.

Bruno Latour. Down to Earth: Politics in the New Climatic Regime. Polity Press, 2018.

Tim Ingold. Being Alive: Essays on Movement, Knowledge and Description. Routledge, 2011.

Scroll to Top