
“เสียงของเรา เข้าใจเราเข้าใจกัน Festival สื่อสร้างสรรค์เพื่อลดอคติชาติพันธุ์” งานเทศกาลและเสวนาริเริ่ม ผลักดันโดย อ.สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์ (ชิ) ที่ sanggadee place สันกำแพง เชียงใหม่
หัวใจของงานนี้คือ การเปิดพื้นที่ เปิดหัวใจให้กับเสียงที่รับหรือสังคมบางส่วนอาจจะมีอคติต่อวิถีชาติพันธุ์
เริ่มตั้งแต่ความไม่รู้ จนไปถึงอำนาจรัฐที่มุ่งจัดระเบียบและสร้างภาพตัวแทนของวิถีชาติพันธุ์อย่างบิดเบี้ยว นำไปสู่นัยทางนโยบายของการกีดกันด้านทรัพยากรและละเมิดสิทธิของชาติพันธุ์ ทั้งหมดเพื่อการควบคุมขยายอำนาจของรัฐ
พื้นที่แห่งนี้จึงเปิดใจให้กับเสียงของพี่น้องชาติพันธ์ได้มาแสดงออกมีหลายรูปแบบ
ที่น่าสนใจมากคือ ให้น้อง ๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่ของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้ทำสื่อคลิปวีดีโอเรื่องคุณค่าทางวัฒนธรรมของตนเองออกมาสื่อสาร ทำให้เห็นว่าทุกประเพณีทุกพิธีกรรมทุกวิถีชีวิตการทำมาหากินหรือความเชื่อต่าง ๆ เป็นคุณค่าที่งดงามในการผูกพันนับญาติกับธรรมชาติ สรรพสิ่งต่างๆล้วนมีชีวิต มีสิทธิ และจิตวิญญาณที่ผูกพันกับชุมชน
สื่อของน้อง ๆ ยังทำให้เห็นว่านี่คือคุณค่าที่จะเปลี่ยนโลกทัศน์ของสังคมไทยและโลก ให้หยุดแปลกแยกกับธรรมชาติ ธรรมชาติกับวัฒนธรรมไม่เคยแยกออกจากกัน ควรที่โลกและสังคมไทยจะเปลี่ยนผ่านสู่วัฒนธรรมที่เอานิเวศเป็นศูนย์กลาง โดยมีวิถีชาติพันธ์เป็นฐานคุณค่าที่สำคัญ
เรื่องเล่าทางชาติพันธุ์ที่ผ่านยังได้ถูกแสดงออกผ่านเมนูอาหารที่มาจัดเลี้ยงในงาน อาหาร 9 ชนิดจากหลากหลายชาติพันธุ์ล้วนบ่งบอกถึงคุณค่าวัฒนธรรมนิเวศและความเอื้ออาทรของชุมชน อาหารจึงเป็นสื่อทางวัฒนธรรมที่ทรงพลังยิ่งที่ชุมชนจะใช้เชื่อมโยงกับโลกภายนอกให้ลดอคติทางชาติพันธุ์ได้
ผมได้ร่วมเสวนา โดยเสนอว่า อคติทางชาติพันธุ์เป็นหนึ่งในยุทธวิธีทางการเมืองที่ผู้มีอำนาจหรือกลไกของรัฐใช้โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดปัญหาสาธารณะที่รัฐต้องการขยายอำนาจหรือรักษาอำนาจ เช่น การปลูกปั่นอคติต่อชาติพันธุ์ในภาวะฝุ่นควันและไฟป่า เพื่อที่จะไม่ให้คนตั้งคำถามต่อความล้มเหลวของรัฐต่อการจัดการป่าและการควบคุมอุตสาหกรรมที่มาทำลายป่าและก่อให้เกิดฝุ่นควัน
ด้วยกระบวนการทั้งสร้างความเป็นอื่น การสร้างภาพตัวแทนที่บิดเบี้ยว และการสร้างกับดักวิธีคิดแบบคู่ตรงข้าม เช่น ธรรมชาติ vs ชาติพันธุ์ ไทย vs ไม่ใช่ไทย…ฯลฯ
เพื่อเข้ามาควบคุมอำนาจจัดการป่า จัดการชาติพันธุ์ให้อยู่ในระเบียบอำนาจและผลประโยชน์ของรัฐ ไม่ให้เกิดความเป็นอื่นในแบบที่รัฐไม่ยินยอม
ในภาวะเช่นนี้เสียงของชาติพันธุ์ไม่สามารถเปล่งออกมาอย่างอิสระได้ แต่จะถูกพูดได้ภายใต้กรอบแห่งอำนาจของรัฐเท่านั้น อย่างเช่นชาติพันธุ์ไม่สามารถประกาศเจตนารมณ์ทำไร่หมุนเวียนได้อย่างอิสระในภาวะฝุ่นควันและไฟป่า ทั้งที่สาเหตุหลักมาจากอุตสาหกรรมอาหาร
ด้วยการปลูกปั่นทางอำนาจนำมาสู่ความรุนแรง ดังบทเรียนที่เกิดขึ้นระดับโลก เช่น เผ่าฮูตูและตุ๊ดซี่ในประเทศรวันดาต้องฆ่ากันต่อการปลูกปั่นของผู้มีอำนาจในการแย่งชิงทรัพยากร หรือกระแสชาตินิยมต่อต้านกัมพูชาที่ปลุกปั่นโดยรัฐล้วนเป็นบทเรียนที่เราควรจะต้องเรียนรู้ที่จะไม่ติดกับดัก
แล้วทางออกของการสื่อสารเพิ่อฝ่าอคติชาติพันธุ์ จะเป็นอย่างไร
เริ่มด้วยการย้อนศรกระบวนการสร้างอคติทั้งหมด ให้วิธีของชาติพันธุ์ได้เปล่งเสียงเสนอความเป็นตัวของตัวเอง เพื่อลบล้างการสร้างภาพแทนอันบิดเบี้ยวโดยคนอื่น
สื่อสารด้วยวิถีชีวิตวัฒนธรรมเชิงนิเวศผ่านรูปธรรมต่างๆเช่น อาหารศิลปะดนตรี และเรื่องราวต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์ของชาติพันธุ์และคุณค่าสำคัญที่เชื่อมโยงกับคุณค่าของสังคม
หยุดสภาวะสร้างความเป็นอื่น โดยชาติพันธ์ุจะลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายสื่อสารและขับเคลื่อนสังคม ทำให้สังคมเห็นว่าสิทธิของชาติพันธุ์คือฐานสำคัญของสิทธิของสังคมและสิทธิของธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐจะต้องรับรอง ไม่ใช่ผนวกภายใต้กรอบอำนาจแห่งรัฐ
หลุดออกจากกับดักของวิธีคิดคู่ตรงข้าม เพราะสิทธิของชาติพันธุ์คือคำตอบของความยั่งยืนทางนิเวศและคุณค่าอันดีงามของสังคม
TCJA จะร่วมกับเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมือง เครือข่ายเยาวชน และภาคีต่างๆในการสื่อสารปฏิบัติการทางวัฒนธรรม ให้เสียงของชาติพันธุ์ได้พูดในความเป็นตัวตนแห่งชาติพันธ์และเชื่อมโยงตัวตนสู่สังคมได้เรียนรู้ถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม วิถีชาติพันธุ์ที่เชื่อมโยงระหว่างสิทธิชุมชนกับสิทธิของธรรมชาติ ที่จะเป็นคุณค่าสำคัญของโลกในยุคต่อไป
กฤษฎา บุญชัย TCJA รายงาน












