
24 ตุลาคม 2024 — รายงาน Emissions Gap Report 2024 โดย UNEP ระบุถึงความจำเป็นที่ประเทศต่างๆ ต้องเพิ่มความทะเยอทะยานและการปฏิบัติอย่างเร่งด่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเตือนว่าหากยังคงทำตามเป้าหมายเดิมโดยไม่มีการยกระดับมาตรการ เป้าหมายของ ข้อตกลงปารีส ในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่ 1.5°C จะสูญเสียไปในไม่กี่ปีข้างหน้า รายงานฉบับนี้เป็นฉบับที่ 15 ของชุดรายงานที่มีการวิเคราะห์แนวโน้มการปล่อยก๊าซในอนาคต รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก และนำเสนอแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลก
สถานการณ์การปล่อยก๊าซในปัจจุบันและความต้องการเร่งด่วน
รายงานฉบับนี้เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทวีความรุนแรงในทุกภูมิภาคของโลก ขณะที่ภัยธรรมชาติ เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม และไฟป่าเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนที่จำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาโอกาสที่จะคงอุณหภูมิไม่เกิน 1.5°C ตามที่ระบุในข้อตกลงปารีส
รายงานชี้ว่า การปล่อยก๊าซต้องลดลง 42% ภายในปี 2030 และ 57% ภายในปี 2035 เพื่อลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5°C อย่างไรก็ตาม หากชาติทั้งหลายไม่สามารถเพิ่มความทะเยอทะยานในการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซผ่าน Nationally Determined Contributions (NDCs) ในปี 2025 และยังคงปฏิบัติตามแผนการลดก๊าซแบบเดิมอยู่ต่อไป โลกอาจต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 2.6-3.1°C ภายในศตวรรษนี้ ระดับนี้จะสร้างผลกระทบที่ทำลายล้างทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะต่อประชากรที่เปราะบางที่สุด
พลังงานหมุนเวียนและบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซ
รายงานแสดงถึงศักยภาพของการใช้พลังงานหมุนเวียนในการลดการปล่อยก๊าซ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ยังพอมีโอกาสบรรลุเป้าหมาย 1.5°C โดยเน้นให้เห็นว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและสามารถลดการปล่อยก๊าซได้รวดเร็วเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ในระยะยาว การเพิ่มพื้นที่ป่าและการอนุรักษ์ป่ายังเป็นวิธีการที่มีศักยภาพสูงในการดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ
การขับเคลื่อนโดยรัฐและความร่วมมือจากภาคเอกชน
เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายที่รุนแรงนี้ รายงานระบุว่าจำเป็นต้องใช้แนวทางบูรณาการที่รวมถึงการมีส่วนร่วมจากทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาสังคมในทุกระดับ ซึ่งการดำเนินการเชิงนโยบายนี้ต้องคำนึงถึงประโยชน์ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ
การปฏิรูประบบการเงินโลกเพื่อให้รองรับการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เช่น การปรับปรุงกองทุนสนับสนุนด้านการเงินเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงการสนับสนุนได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังมีบทบาทสำคัญในการลงทุนและสนับสนุนการวิจัยนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด โดย UNEP ชี้ว่า การลงทุนในการลดการปล่อยก๊าซต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหกเท่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้
บทบาทสำคัญของประเทศในกลุ่ม G20
รายงานยังเน้นย้ำว่าประเทศในกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำในการลดการปล่อยก๊าซและมีส่วนรับผิดชอบในการยกระดับการดำเนินงานที่สอดคล้องกับข้อตกลงปารีส G20 ต้องเร่งดำเนินการและสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการฟื้นฟูป่าและการพัฒนาชุมชนให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
สามเส้นทางในอนาคตที่เป็นไปได้ของโลก
รายงาน Emissions Gap Report 2024 ชี้ว่าโลกกำลังเผชิญกับสามทางเลือกตามระดับของการลงมือปฏิบัติในระดับโลก:
1. อนาคตที่โลกบรรลุเป้าหมาย 1.5°C – หากทุกประเทศเพิ่มความทะเยอทะยานและดำเนินการตาม NDCs อย่างเคร่งครัด รวมถึงยกระดับมาตรการลดก๊าซ โลกยังพอมีโอกาสที่จะรักษาระดับอุณหภูมิที่ 1.5°C ไว้ได้
2. อนาคตที่อุณหภูมิสูงขึ้น 2°C – แม้ว่าจะพยายามบรรเทาผลกระทบได้บ้าง แต่อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นถึง 2°C จะทำให้สภาพอากาศมีความแปรปรวนมากขึ้น ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาน้อย
3. อนาคตที่อุณหภูมิสูงกว่า 2.6°C – หากไม่มีการลงมือปฏิบัติทันที โลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงลบอย่างมหาศาลทั้งต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม และอาจทำให้เกิดการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจในหลายภูมิภาค
การปิดช่องว่างการปล่อยก๊าซและอนาคตของมนุษยชาติ
รายงานเน้นว่าการรักษาเป้าหมาย 1.5°C เป็นไปได้เพียงเมื่อทุกประเทศร่วมกันแสดงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซให้ได้ 42% ภายในปี 2030 และ 57% ภายในปี 2035 โดยในขณะเดียวกันจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนในด้านการสนับสนุนการเงินระหว่างประเทศ เพิ่มการลงทุนในพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน รายงานชี้ให้เห็นว่าเวลาที่เหลืออยู่นั้นจำกัดอย่างมาก ดังนั้นโลกจึงจำเป็นต้องลงมือในทันทีไม่ใช่เพียงเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน แต่เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ