
แนวคิดเศรษฐกิจโดนัท (Doughnut Economics) ที่นำเสนอโดย Kate Raworth เป็นกรอบแนวคิดใหม่การพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการสร้างสมดุลระหว่างความเป็นธรรมทางสังคมและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นให้ทุกคนได้รับปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ขณะที่รักษาขอบเขตการใช้ทรัพยากรให้อยู่ในระดับที่ธรรมชาติสามารถรองรับได้
หลักการสำคัญประกอบด้วย
1. การสร้างพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับทุกคน: วงในของโดนัทเน้นการตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำสะอาด อาหาร ที่อยู่อาศัย สุขภาพ และการศึกษา การมีพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมในสังคม
2. การจำกัดการใช้ทรัพยากรให้อยู่ในขอบเขตที่โลกสามารถรองรับได้: วงนอกของโดนัทคือขอบเขตที่มนุษย์ต้องระมัดระวังไม่ให้ก้าวล้ำไป เช่น การควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ทรัพยากรอย่างสมเหตุผล และการรักษาสมดุลของระบบนิเวศเพื่อลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ
3. การสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน: เศรษฐกิจโดนัทมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่เน้นการเติบโตเชิงปริมาณเพียงอย่างเดียว แต่เน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิต การบริโภคอย่างรู้คิด และการพัฒนาที่คำนึงถึงทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคม
เศรษฐกิจโดนัทแบ่งออกเป็นวงกลมสองชั้นที่แสดงถึงขอบเขตของการพัฒนาเศรษฐกิจ:
1. วงใน (ขอบเขตด้านสังคม) คือ ความต้องการพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียม เช่น การเข้าถึงอาหาร น้ำสะอาด ที่อยู่อาศัย สุขภาพ การศึกษา และสวัสดิการ โดยเน้นให้สังคมทุกภาคส่วนได้รับปัจจัยเหล่านี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำ
การขาดทรัพยากรเหล่านี้จะนำไปสู่ความยากจน ความไม่เท่าเทียม และการขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา
2. วงนอก (ขอบเขตด้านนิเวศวิทยา) กำหนดขีดจำกัดในการใช้ทรัพยากรของมนุษย์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลพิษทางน้ำ การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ และการเสื่อมสภาพของป่าไม้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สภาพภูมิอากาศแปรปรวน
การข้ามขีดจำกัดนี้หมายถึงการใช้ทรัพยากรอย่างไร้การควบคุม จนก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบนิเวศและเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แนวคิดเศรษฐกิจโดนัทชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาเศรษฐกิจควรอยู่ภายในวงกลมสองชั้นนี้ หรือที่เรียกว่า “โซนที่ปลอดภัยและเป็นธรรม” สำหรับมนุษย์ ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการตอบสนองความต้องการของมนุษย์และไม่สร้างผลกระทบที่เกินขอบเขตต่อสิ่งแวดล้อม
การนำแนวคิดเศรษฐกิจโดนัทมาวิเคราะห์ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศช่วยให้เรามองเห็นแนวทางที่เป็นธรรมและยั่งยืนในการแก้ไขปัญหา โดยให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในขอบเขตที่โลกสามารถรองรับได้ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ละเลยการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของทุกคนในสังคมเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำ
เศรษฐกิจโดนัทของ Kate Raworth สามารถแยกการวิเคราะห์ได้เป็นสองส่วน คือ
1) การจัดการกับขีดจำกัดด้านนิเวศวิทยาที่โลกต้องการเพื่อรักษาสมดุล (วงนอกของโดนัท)
2) การคุ้มครองความต้องการพื้นฐานทางสังคม (วงในของโดนัท) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนี้
1. การควบคุมขีดจำกัดด้านนิเวศวิทยา วงนอกของโดนัทชี้ให้เห็นถึงขอบเขตที่เราไม่ควรละเมิด เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเกินไปจะทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและผลกระทบต่อระบบนิเวศ เช่น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น และสภาพอากาศที่แปรปรวน แนวคิดนี้จึงสนับสนุนให้แต่ละประเทศกำหนดขีดจำกัดในการปล่อยคาร์บอนโดยให้พิจารณาว่าความสมดุลทางสิ่งแวดล้อมของโลกจะต้องไม่ถูกทำลาย
ประเทศต่าง ๆ ควรสร้างนโยบายที่กำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม โดยไม่ให้เกินขอบเขตการปล่อยคาร์บอนที่โลกสามารถรองรับได้ มาตรการนี้รวมถึงการออกกฎหมายควบคุมการปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจ เพื่อไม่ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจข้ามขีดจำกัดทางนิเวศน์ที่กำหนดไว้
การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และพลังงานน้ำเป็นสิ่งสำคัญ การสนับสนุนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนจะช่วยให้เราสามารถผลิตพลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานโดยไม่ทำลายสมดุลทางนิเวศน์
2. การตอบสนองความต้องการพื้นฐานของทุกคน
วงในของโดนัทเน้นให้ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิต เช่น น้ำสะอาด อาหาร ที่อยู่อาศัย และสุขภาพ หากไม่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานเหล่านี้ จะทำให้ผู้คนในบางพื้นที่เสี่ยงต่อความยากจน ขาดการศึกษา หรือการเข้าถึงทรัพยากร ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนในชุมชนที่เปราะบางและต้องเผชิญกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ
การจัดการที่ยุติธรรมสำหรับกลุ่มเปราะบาง: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกระทบต่อคนในประเทศกำลังพัฒนาหรือชุมชนที่มีทรัพยากรจำกัดอย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเปราะบาง เช่น ชาวเกษตรกรที่พึ่งพาสภาพอากาศในการดำเนินชีวิต การให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากประเทศพัฒนาแล้ว เช่น การจัดตั้งกองทุนเพื่อการปรับตัว (Adaptation Fund) จะช่วยให้ชุมชนเหล่านี้สามารถปรับตัวและรับมือกับผลกระทบได้ดียิ่งขึ้น
การสนับสนุนระบบเศรษฐกิจชุมชนและการพึ่งพาตนเอง เช่น การผลิตอาหารที่ยั่งยืน การจัดการน้ำอย่างเหมาะสม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนจะทำให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต
ตัวอย่างแนวทางปฏิบัติในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามเศรษฐกิจโดนัท
1. การออกแบบเมืองที่ยั่งยืนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ระบบขนส่งสาธารณะ การสร้างพื้นที่สีเขียว และการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชากร
ตัวอย่างคือเมืองอัมสเตอร์ดัมที่นำแนวคิดเศรษฐกิจโดนัทมาใช้ในการพัฒนาเมืองแบบยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างที่อยู่อาศัยที่ลดการใช้พลังงาน การรีไซเคิลทรัพยากร และการส่งเสริมการขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานสะอาด
2. การกำหนดมาตรฐานการบริโภคอย่างยั่งยืน รัฐบาลและองค์กรสามารถใช้มาตรฐานเศรษฐกิจโดนัทเป็นแนวทางในการควบคุมสินค้าและบริการที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การออกฉลากสำหรับสินค้าออร์แกนิก การส่งเสริมการใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ และการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การสนับสนุนให้ประชาชนมีพฤติกรรมการบริโภคที่ลดขยะและการปล่อยมลพิษลง เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ และการส่งเสริมการบริโภคที่ไม่ส่งผลเสียต่อธรรมชาติ จะช่วยลดภาระสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การส่งเสริมธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้มีมาตรการสำหรับภาคธุรกิจที่ยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาสินค้าที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ธุรกิจที่ดำเนินการตามแนวทางนี้จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของตนได้
การใช้แนวคิดเศรษฐกิจโดนัทในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เราสามารถเน้นที่การสร้างสมดุลระหว่างการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของทุกคน แนวคิดนี้สนับสนุนให้มีการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ไม่เกินขีดจำกัดทางนิเวศน์ และในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมในสังคม โดยเน้นให้ทุกคนเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นอย่างเท่าเทียม แนวคิดนี้หากนำไปใช้จริง จะช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยน
————-
Kate Raworth.2017. “Doughnut Economics: Seven Ways to Think Like a 21st-Century Economist”