
ปัญหาโลกร้อนเป็นวิกฤตระดับโลกที่มักถูกสื่อสารในรูปแบบที่เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่การแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศในระดับลึกจำเป็นต้องพิจารณาปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น เศรษฐกิจเชื้อเพลิงฟอสซิล การผลิตและการบริโภคเกินขอบเขต การผูกขาดทรัพยากร และโครงสร้างอำนาจที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ยาก แนวคิดทฤษฎีทางสังคมศาสตร์อย่าง “พลังประชาชน” (People Power) และ “ทฤษฎีการพึ่งพิงร่วมกัน” (Interdependence Theory) สามารถนำมาช่วยให้การสื่อสารเรื่องโลกร้อนเกิดผลในเชิงโครงสร้าง และปลุกพลังสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
โครงสร้างที่เป็นปัญหา: จากพฤติกรรมรายบุคคลสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
ตามแนวคิดของโครงสร้างนิยม (Structuralism) โครงสร้างทางสังคมมีผลต่อชีวิตและพฤติกรรมของมนุษย์มากกว่าการตัดสินใจส่วนบุคคล เช่น เศรษฐกิจเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยรัฐและทุนใหญ่ คือหนึ่งในโครงสร้างที่ขับเคลื่อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง การผลิตเพื่อการบริโภคเกินความจำเป็นเป็นอีกหนึ่งโครงสร้างที่สร้างปัญหามลพิษและขยะ หากการสื่อสารเรื่องโลกร้อนสามารถชี้ให้เห็นว่า ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่พฤติกรรมรายบุคคลแต่เป็นผลลัพธ์ของโครงสร้างเชิงอำนาจ จะช่วยให้ประชาชนมีความเข้าใจและวิพากษ์โครงสร้างดังกล่าวมากขึ้น
ตัวอย่าง: เครือข่าย Break Free from Plastic ที่ใช้การสื่อสารให้เห็นถึงโครงสร้างของอุตสาหกรรมพลาสติกและการผลิตที่ไม่ยั่งยืน แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการลดการใช้พลาสติกของแต่ละบุคคล การเคลื่อนไหวนี้ช่วยให้ประชาชนเข้าใจว่าการลดการใช้พลาสติกต้องเริ่มจากการแก้ไขปัญหาการผลิตและความรับผิดชอบของธุรกิจ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องได้รับการแก้ไข
มุมมองเชิงวิพากษ์และโอกาสในการเปลี่ยนแปลง: แนวคิดหลังอาณานิคมและการเห็นความเป็นไปได้ใหม่
แนวคิดหลังอาณานิคม (Post-colonial Theory) และทฤษฎีวิพากษ์ (Critical Theory) ช่วยให้เรามองเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างและอำนาจที่มักซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจแบบเดิม ๆ ทำให้เกิดการมองเห็นถึงโอกาสในการเปลี่ยนแปลง เช่น ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนในชุมชน และการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว แนวคิดเหล่านี้จะช่วยให้ประชาชนมองเห็นว่าทางเลือกใหม่เป็นไปได้ และสามารถเกิดขึ้นจากความร่วมมือของคนในชุมชนเองโดยไม่ต้องพึ่งพารัฐหรือทุนใหญ่เพียงอย่างเดียว
ตัวอย่าง: โครงการ Transition Towns ในสหราชอาณาจักรที่ริเริ่มโดยประชาชนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร พลังงานหมุนเวียน และเศรษฐกิจท้องถิ่น เป็นตัวอย่างของการสร้างการเปลี่ยนแปลงจากการพึ่งพิงร่วมกันในชุมชน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดจากความร่วมมือของชุมชนแทนการรอคอยจากภาครัฐหรือองค์กรใหญ่ แสดงให้เห็นถึงการสร้างอำนาจใหม่ในท้องถิ่นที่เกิดขึ้นเองจากภายใน
ความสัมพันธ์ใหม่และการเรียนรู้ร่วมกัน: การพึ่งพิงร่วมกันในระดับชุมชน
การสื่อสารที่สร้างความหวังควรเน้นให้ประชาชนเห็นถึงการพึ่งพิงร่วมกันและความสำคัญของการร่วมมือกันในระดับชุมชน การพึ่งพิงกันนี้มีรากฐานจากทฤษฎีการพึ่งพิงร่วมกัน (Interdependence Theory) ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างบุคคล กลุ่ม หรือชุมชน ซึ่งสามารถสร้างอำนาจต่อรองและส่งเสริมความรู้สึกมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมร่วมกัน การสื่อสารที่ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ร่วมกันและความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างคนในชุมชนจะทำให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของการร่วมมือในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
ตัวอย่าง: Climate Reality Project ที่ก่อตั้งโดย อัล กอร์ มุ่งสร้างเครือข่ายประชาชนที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและสนับสนุนกันเองในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ของตน แนวคิดนี้เน้นการเรียนรู้ร่วมกันและการสื่อสารอย่างเปิดเผย ช่วยให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง แต่มีเครือข่ายผู้สนับสนุนที่พร้อมช่วยเหลือกันและกันในการทำงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ส่งเสริมพลังประชาชน: มุมมองการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
แนวคิดทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (Theory of Change) ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างพลังประชาชนในการเปลี่ยนแปลงสังคม การให้ประชาชนเห็นว่าการมีส่วนร่วมของพวกเขาในฐานะพลังสังคมสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีบทบาทสำคัญในระบบใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากการสื่อสารที่เน้นการปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล การสื่อสารที่ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือกันของประชาชนในการเคลื่อนไหวเชิงโครงสร้าง เช่น การตั้งองค์กรชุมชน การร่วมรณรงค์ หรือการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองมีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
ตัวอย่าง: Fridays for Future ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศที่ริเริ่มโดยเยาวชนทั่วโลก ได้สร้างแรงกระเพื่อมที่กว้างขวางในสังคม โดยการกดดันให้รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ หันมาทบทวนนโยบายและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เห็นว่าพลังของประชาชนสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างได้อย่างแท้จริง
สรุป: การสื่อสารที่สร้างความหวังและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
การสื่อสารเรื่องโลกร้อนที่สร้างความหวังให้กับสังคมควรเป็นมากกว่าการปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่ควรเปิดให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจและอำนาจ และสร้างมุมมองที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
การสื่อสารเช่นนี้สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนเห็นว่าพวกเขาสามารถรวมตัวกันเป็นพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคม ปลูกฝังความเข้าใจว่าอนาคตที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือและการพึ่งพิงซึ่งกันและกันในระดับชุมชน ไม่ใช่การรอคอยการเปลี่ยนแปลงจากรัฐหรือองค์กรใหญ่
อ้างอิง
1. Break Free from Plastic. (n.d.). “About Us.” Retrieved from https://www.breakfreefromplastic.org
2. Transition Network. (n.d.). “What Is Transition?” Retrieved from https://transitionnetwork.org/
3. Climate Reality Project. (n.d.). “Our Mission.” Retrieved from https://www.climaterealityproject.org/
4. Fridays for Future. (n.d.). “What We Do.” Retrieved from https://fridaysforfuture.org/
5. IPBES. (2019). Global Assessment Report on Biodiversity and Ecosystem Services. Retrieved from https://ipbes.net/global-assessment
6. Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC). (2021). Climate Change 2021: The Physical Science Basis. Retrieved from https://www.ipcc.ch/report/ar6/wg1/
7. Moore, J. W. (2015). Capitalism in the Web of Life: Ecology and the Accumulation of Capital. Verso Books.
8. Klein, N. (2014). This Changes Everything: Capitalism vs. the Climate. Simon & Schuster.
9. Tsing, A. L. (2015). The Mushroom at the End of the World: On the Possibility of Life in Capitalist Ruins. Princeton University Press.
10. Harvey, D. (2005). A Brief History of Neoliberalism. Oxford University Press.
Chat GPT