THAI CLIMATE JUSTICE for All

Mudatuga: การหมักขยะนั้นง่ายมาก แค่ออกจาก Comfort Zone

เขียนโดย Analu Bailosa
วันที่ 9 ตุลาคม 2016
เขียนโดย Analu Bailosa
อ้างอิง Mudatuga: “Composting is extremely easy, the challenge is to get out of our comfort zone”

หนึ่งในนวัตกรรมต่อสู้ภาวะโลกร้อนชั้นนำโดยคนรุ่นใหม่ได้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมที่มุ่งจัดการขยะอินทรีย์ชื่อ Mudatuga ซึ่งเป็น Startup ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 ในเมือง Coimbra ประเทศโปรตุเกสโดย Carolina Bianchi ผู้ซึ่งเป็นนักชีววิทยา เธอเห็นว่าการกำจัดขยะแบบฝังกลบเป็นวิธีการที่ไม่ยั่งยืนและก่อมลภาวะในยุคปัจจุบันที่ปริมาณขยะมีมากจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเธอจึงต้องการชักชวนให้ทุกคนเปลี่ยนพฤติกรรมการฝังกลบขยะมาใช้วิธีการหมักในแบบของ Mudatuga เพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

Carolina เริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองก่อนโดยใช้ถังหมักขยะในครัวของเธอเองที่ประเทศบราซิลมาเป็นเวลา 12 ปี ต่อมาในปี 2017 เธอมีความจำเป็นต้องย้ายมาทำงานที่โปรตุเกส เธอจึงเห็นโอกาสจากการที่ผู้คนไม่รีไซเคิลขยะหรือหมักอย่างไม่ถูกวิธีแล้วใช้วิธีฝังกลบเป็นหลัก ก่อตั้งโครงการเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคขึ้น จนถึงปัจจุบันมีผู้คนกว่า 1,500 คนได้รับการฝึกอบรมและสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในช่วง 3 ปีแรกของการดำเนินโครงการด้วยการให้บริหารจัดการจุดหมักขยะสองจุดในสองชุมชนและอบรมเชิงปฏิบัติการทั้งออนไซต์และออนไลน์ นอกจากนี้ยังได้ออกแบบกระบวนการหมักขยะให้เรียยบง่ายและชักชวนให้เทศบาลส่วนท้องถิ่นนำไปปฏิบัติต่อในชุมชนของตัวเองทั้งหมด “มันไม่ต้องใช้เงินลงทุนอะไรมากเลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทที่มีพื้นที่กว้างขวางแต่ยังมีการหมักขยะน้อยมาก ชุมชนส่วนใหญ่ในโปรตุเกสไม่ต้องซื้อเครื่องหมักขยะหรอก” Carolina ให้สัมภาษณ์

กระบวนการหมักขยะ

โดยทั่วไปแล้ว กระบวนการหมักขยะเป็นแบบเดียวกับที่เรารีไซเคิลพลาสติก กล่าวคือเรารีไซเคิลขยะอินทรีย์ให้เป็นสารอาหารที่รากพืชสามารถดูดซับไปใช้เลี้ยงลำต้นได้ ในความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้เป็นผู้คิดค้นนวัตกรรมนี้ขึ้นมาเลย แต่ธรรมชาติต่างหากที่ทำ กระบวนการเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอในป่าและเราเรียกมันว่า Biomimetics และพยายามจำลองกระบวนการที่เกิดขึ้นในผิวดินตื้น ๆ ที่เรียกว่า Dead Cover ที่ประกอบไปด้วยใบไม้แห้ง ใบไม้สด ผลไม้ร่วง และอุจจาระสัตว์ มาใช้ในชุมชนเมืองและโรงไฟฟ้า ดังนั้นยิ่งเราจำลองกระบวนการได้ใกล้เคียงของจริงเท่าใด เราก็ยิ่งลดกลิ่นและสัตว์รบกวนเช่นแมลงวันได้ดียิ่งขึ้น

ผลกระทบของกระบวนการหมักขยะที่มีต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อขยะอินทรีย์ที่มีปริมาณถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณขยะชุมชนทั้งหมดถูกย่อยสลายด้วยวิธี Anaerobic ในหลุมฝังกลบ มันจะทำให้เกิดมีเทนที่เป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีอานุภาพรุนแรงในปริมาณมาก แน่นอนว่าพลาสติกที่เราไม่สามารถย่อยสลายด้วยกระบวนการของเราได้ก็ทำให้เกิดมีเทนเช่นกัน แต่มันใช้เวลานานมากในการย่อยสลายดังนั้นจึงไม่ทำให้เกิดมีเทนในปริมาณสูง ๆ ในครั้งเดียว แต่สสารที่ก่อให้เกิดมีเทนมากที่สุดในหลุมฝังกลบคือขยะอินทรีย์ ซึ่งสามารถกำจัดได้ง่ายมากเพราะสามารถรีไซเคิลได้ในบ้านของคุณเอง แน่นอนว่าจะต้องนำเอาหลาย ๆ วิธีมารวมกันเช่นการย่อยสลายขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรม ส่วนโปรตุเกสนั้นมาเริ่มรีไซเคิลขยะหลังจากที่คำสั่ง European Commission ฉบับที่ 851 ออกมาบังคับใช้ในปี 2018 ให้ประเทศสมาชิกจะต้องรีไซเคิลขยะอินทรีย์ ทำให้ขยะพวกนี้ไม่ได้รับการบำบัดอย่างถูกต้องมาเป็นเวลานานมาก

ทำไมการรีไซเคิลขยะจึงยังไม่ได้รับความนิยม

ประชาชนทั่วไปยังคงเกียจคร้านเกินไปที่จะทำ มิฉะนั้นเราคงได้รีไซเคิลขยะ 100% ไปนานแล้ว ดังนั้นถ้าเรามีจุดย่อยขยะที่ใกล้บ้านหรือจุดที่เหมาะสมกับที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดมิเนียม คนน่าจะหันมารีไซเคิลขยะกันมากขึ้น ในปีที่ผ่านมา มีของเสียเพียง 7.2% ที่ได้รับการบำบัดด้วยวิธีที่ถูกต้องได้แก่น้ำเสีย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก

57% ของขยะอินทรีย์มีจุดกำเนิดจากครัวเรือนในชุมชนเมือง ซึ่งส่วนใหญ่ไปจบลงที่หลุมฝังกลบเพียงเพราะว่าเกียจคร้านที่จะใช้วิธีการย่อยสลายอย่างถูกต้อง บ้างก็อ้างว่ายุ่งยากเกินไป กลิ่นเหม็นเกินไป แมลงวันมากเกินไป ไม่มีที่ว่างที่เหมาะสม และข้ออ้างอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วปัญหามากจากความเข้าใจผิด เราจึงได้มุ่งเน้นไปที่จัดการอบรมให้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ชุมชนนอกเหนือไปจากการเผยแพร่ข้อมูลทางช่องทางออนไลน์อย่าง Instagram หรือ Blog สิ่งสำคัญคือต้องให้ทุกคนเข้าใจถึงกระบวนการหมักขยะและประโยชน์ของมันมากกว่าที่จะมุ่งหวังผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน เราเห็นหลายคนไปเอาข้อมูลจาก Google ออกมาทำเป็นคู่มือ ซึ่งไม่มีความละเอียดมากพอจึงเกิดปัญหามากกว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหา ตัวอย่างหนึ่งของความไม่เข้าใจกระบวนการย่อยสลายตามธรรมชาติได้แก่การเผาขยะในสวนก่อนหน้าร้อนจะมาถึง ทั้ง ๆ ที่ขยะพวกนี้ก็จะถูกย่อยสลายในหน้าร้อนตามธรรมชาติยู่แล้ว

วิธีการหมักขยะอินทรีย์ที่ใช้ทุนต่ำ

ขั้นตอนแรกคุณต้องตรวจสอบขยะที่คุณมีเสียก่อน มีบางครอบครัวที่ไม่มีขยะอินทรีย์เลยเพราะทำงานนอกบ้านแทบจะตลอดทั้งวันและไม่กินข้าวที่บ้าน และก็มีบางครอบครัวที่กินผัก 300 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ก่อนอื่นคุณต้องรุ้ว่าขยะที่บ้านคุณมีอะไรบ้างและมีวิธีกำจัดที่เหมาะสมอย่างไรบ้าง คุณอยู่บ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม และอยู่ใกล้จุดบริการหมักขยะหรือไม่ หลังจากที่ได้ข้อมูลครบแล้วจึงทำการตัดสินใจว่าจะซื้อเครื่องหมักขยะหรือไม่ หรือจะสร้างเอาจากที่เราสอนวิธีการสร้างไว้ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ หรือจะฝากให้ผู้อื่นที่ทำอยู่แล้วช่วยนำไปรวบรวมแล้วทำการหมักให้

ผลกระทบจากการหมักขยะที่มีต่อชุมชน

เราออกแบบแคมเปญชื่อนินจาหมักขยะเพื่อสร้างกลุ่มที่จะมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่คนหรือสองคน แต่เป็นกองทัพนินจาที่จะมาทำให้ชุมชนทั้งหมดหันมาหมักขยะ มันเป็นเรื่องของการแบ่งความรับผิดชอบ ที่ผ่านมาเราอยู่กันแบบตัวใครตัวมันและคิดว่าขยะของเราไม่ใช่ปัญหาของคนอื่น แต่การที่จะเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้นั้นเราต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่ได้ตอบโจทย์การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืนเพราะก่อให้เกิดของเสียลิเทียมปริมาณมหาศาล

การหมักขยะนั้นทำได้ง่ายมากเพียงเราต้องออกจาก Comfort Zone ของตนเองและติดต่อเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้านให้มากขึ้น ปัญหาขยะเป็นปัญหาที่คงต้องใช้เวลานานเป็นชั่วคนเพื่อแก้ไข เราจึงต้องเริ่มทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงวันโลกแตก เพราะในความเป็นจริงแล้วโลกไม่น่าจะแตกเพราะภาวะโลกร้อนหรอก แต่เราทุกคนจะตายกันหมดเสียก่อน

การทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น

การหมักขยะจะต้องเป็นผลมาจากความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น ภาครัฐมักบ่นว่าประชาชนไม่ยอมคัดแยกขยะ ส่วนประชาชนก็บ่นว่าหน่วยงานรัฐก็ไม่อำนวยความสะดวกให้พวกเขาหมักขยะหรือปุ๋ย ดังนั้น Mudatuga จึงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองกลุ่มนี้

เราเข้าใจว่าสภาชุมชนขาดข้อมูล และหลายคนก็จ้างพวกเขา (เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสภาชุมชน) ไปฝึกอบรมให้แก่ช่างเทคนิคของเทศบาล อย่างไรก็ตามเราคิดว่าโครงการนำร่องหมักขยะของหน่วยงานรัฐนั้นยังไม่ดีพอ จนเราคิดจะทำรายงานประเมินผลโครงการให้

โครงการ Mudatuga

เครื่องหมักขยะมีจำหน่ายตามห้างต่างมากแล้ว เราจึงไม่ต้องการให้ Mudatuga เป็นเพียงบริษัทขายเครื่องหมักขยะ แต่เป็นบริษัทที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เราจึงมุ่งเน้นไปที่การฝึกอบรม แม้จะใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลก็ตาม แม้ว่าเรามีเครื่องหมักขยะของเราเองก็จริง และถ้าใครต้องการนำไปลงทุน เราก็ยินดี แต่เราต้องการทำมากกว่านั้น ตอนนี้เรากำลังพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่จะวัดปริมาณมีเทนที่ลดลงจากการดำเนินโครงการหมักขยะเพื่อนำมาเทียบกับปริมาณมีเทนที่หลุมฝังกลบจะปล่อยออกมาหากไม่มีการหมักขยะ

การทำงานของแอพพลิเคชั่นอยู่บนพื้นฐานของการติดตามพฤติกรรม ระบบจะวัดปริมาณขยะต่อคนและนำมาจัดอันดับ เพื่อกระตุ้นให้เปลี่ยนพฤติกรรมเมื่อแต่ละคนเห็นปริมาณขยะที่ตนเองก่อขึ้นเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ในชุมชน เป็นการสร้างกิจกรรมการมีส่วนร่วมในชุมชน การแข่งขัน (แบบสนุก ๆ ) และความภาคภูมิใจไปในตัว แอพพลิเคชั่นนี้พัฒนาขึ้นโดยกลุ่มนักศึกษาปริญญาโทจาก Nova SBE หลังจากที่เราทดสอบแอพแล้วเราก็จะหานักลงทุนต่อไป

การมีส่วนร่วมจากคนทุกรุ่นอย่างเท่าเทียมกัน

เราคิดว่ามีโครงการที่มุ่งเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใหญ่และผู้สูงอายุน้อยเกินไปทำให้ความพยายามลดการฝังกลบขยะไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากเรามัวแต่ไปมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมจากคนรุ่นใหม่มากเกินไปโดยลืมนึกถึงผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบัน เราลืมไปว่าคนยุคปัจจุบันก็ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนกันแล้ว ดังนั้นเราต้องการคนทุกรุ่นมาร่วมหมักขยะ สร้างความเปลี่ยนแปลง และชะลอภาวะโลกร้อนลง เราไม่ควรฝากความหวังไว้กับคนรุ่นใหม่เพียงรุ่นเดียวแล้วนั่งเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย คนทุกรุ่นต้องเริ่มลงมือทำไปพร้อม ๆ กัน รวมเอาคนทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และคนสูงอายุ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมยากที่สุดที่ยังเผาขยะกันอยู่ในสวน การจะเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้จะต้องเชื่อมโยงเรื่องกำจัดขยะเข้ากับเรื่องของสุขภาวะ (เพราะเป็นการลดการเผาที่ทำให้เกิดฝุ่นควันรบกวน) เป็นงานอดิเรกที่ทำร่วมกับชุมชน เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติ สร้างรายได้จากการทำปุ๋ยหมักและลดก๊าซเรือนกระจกไปพร้อมกัน

การสนับสนุนจากกฎหมาย ประการสุดท้าย การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดจะได้ผลสูงสุดเมื่อได้รับการสนับสนุนจากกฎหมาย ในวันที่ 1 มกราคม 2024 ประเทศโปรตุเกสบังคับใช้กฎหมายให้ประชาชนของตนแยกขยะอินทรีย์ในครัวเรือน แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องหมักขยะอินทรีย์ที่แยกมาได้ อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าผลที่ได้จากการบังคับใช้กฎหมายนี้คงมีไม่มากนักเพราะคงยากที่จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายในทุกครัวเรือน ดังนั้นการใช้กฎหมายและการเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่ได้กล่าวมาแล้วจึงเป็นสองเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้

Scroll to Top