
การประชุม COP16 ที่เมืองคาลี ประเทศโคลอมเบีย ได้เปิดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสร้างตลาดเพื่อชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Offsetting Market) ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญที่ระบุว่าการชดเชยในระดับโลกเป็นแนวทางที่ “ไม่ได้ผล” แนวคิดนี้มีเป้าหมายเพื่อให้บริษัทต่างๆ สนับสนุนโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมกับการสร้างผลเชิงบวกสุทธิ “net-positive” ให้กับระบบนิเวศ แต่ความพยายามนี้เผชิญกับข้อกังวลด้านความโปร่งใสและผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนในพื้นที่
แนวคิดตลาดชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพ: ความหวังใหม่หรือทางเบี่ยง
ในปัจจุบัน ตลาดชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น โดยรายงานจาก Bloomberg NEF ระบุว่ามีการขายเครดิตดังกล่าวน้อยกว่า 1 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าความต้องการจะยังต่ำ แต่ความพยายามผลักดันแนวทางนี้ให้เป็นที่สนใจของภาคเอกชนยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
กรอบมาตรฐานใหม่ ที่นำโดยสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสยืนยันว่า การชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพควรจำกัดเฉพาะในระดับท้องถิ่นเท่านั้น โดยต้องเป็นการชดเชยที่ “เหมือนกัน” (Like-for-Like Compensation) เช่น หากพื้นที่ชุ่มน้ำในเคนต์ถูกทำลาย โครงการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำใกล้เคียงจะเป็นการชดเชยที่เหมาะสม การตัดไม้ทำลายป่าในบราซิลแล้วปลูกป่าใหม่ในคองโกถือว่าไม่เหมาะสม
บทเรียนจากคาร์บอนเครดิต
การพัฒนาตลาดชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพได้รับแรงบันดาลใจจากตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งในอดีตเคยถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตาม การสืบสวนของ The Guardian ในปี 2023 พบว่าเครดิตคาร์บอนจำนวนมากที่ได้รับการรับรองจากองค์กรชั้นนำกลับไม่มีมูลค่าจริง
Sylvie Goulard ผู้ร่วมประธานของ IAPB ระบุว่า ความล้มเหลวของตลาดเครดิตคาร์บอนชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นผ่านกรอบมาตรฐานที่ชัดเจน ข้อผิดพลาดในอดีต เช่น การขาดความโปร่งใส และการตรวจสอบที่ไม่เพียงพอ กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่กรอบใหม่ของ IAPB ต้องพิจารณาเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเดิม
ผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น
หนึ่งในข้อกังวลหลักเกี่ยวกับตลาดชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพคือผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่น นักวิจารณ์หลายคนเตือนว่า โครงการเหล่านี้อาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น การยึดครองที่ดิน และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
Lim Li Ching จาก Third World Network ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาตลาดเครดิตอาจทำให้รัฐบาลและบริษัทต่างๆ เบี่ยงเบนความสนใจจากการแก้ปัญหาที่แท้จริง เช่น การลดเงินอุดหนุนที่ทำลายธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ชุมชนในประเทศกำลังพัฒนาจะถูกบีบบังคับให้ออกจากพื้นที่เพื่อเปิดทางให้โครงการเหล่านี้
ตัวอย่างโครงการในอดีต
ในหลายประเทศ มีโครงการฟื้นฟูธรรมชาติที่ประสบความสำเร็จในระดับท้องถิ่น เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำในอังกฤษและการปลูกป่าในชุมชนท้องถิ่นในแอฟริกา โครงการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การดำเนินการในระดับเล็กที่สอดคล้องกับความต้องการของระบบนิเวศในพื้นที่มีแนวโน้มที่จะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกมากกว่า
ในทางตรงกันข้าม โครงการที่ล้มเหลว เช่น การปลูกพืชเชิงเดี่ยว ในพื้นที่ป่าฝนเขตร้อน ไม่เพียงแต่ไม่ได้ฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างแท้จริง แต่ยังทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพในระดับท้องถิ่น
มุมมองเชิงวิพากษ์
กลุ่มผู้คัดค้าน เช่น นักวิจัยและองค์กรภาคประชาสังคมกว่า 270 แห่ง ระบุว่า การชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพในรูปแบบเครดิตเป็นเพียง “กลไกหลอกลวง” (Deceptive Mechanism) ที่ไม่ได้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง พวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดการพัฒนาและโปรโมตเครดิตเหล่านี้ พร้อมทั้งหันไปเน้นการสนับสนุนนโยบายที่แก้ปัญหารากเหง้าของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
บทสรุป
ตลาดชดเชยความหลากหลายทางชีวภาพอาจเป็นแนวทางที่มีศักยภาพหากดำเนินการด้วยความระมัดระวังและโปร่งใส แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อกังวลเรื่องผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้นได้ การพัฒนากลไกนี้ควรคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Economic Development) และการปกป้องระบบนิเวศ (Ecosystem Protection)
คำถามสำคัญยังคงอยู่ เราจะสามารถสร้างตลาดที่ตอบสนองทั้งเป้าหมายการอนุรักษ์ธรรมชาติและการปกป้องสิทธิของชุมชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ คำตอบอาจอยู่ในความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างนโยบายที่ยั่งยืนและสมดุล
Credit : Global biodiversity offsetting doesn’t work – keep schemes local, say experts