หากชุมชนประมงพื้นบ้านล่มสลาย ระบบนิเวศทางทะเลและระบบเศรษฐกิจอาหารทางทะเลของประเทศก็พังทลายไปด้วย
วันนี้ผม กฤษฎา บุญชัย TCJA ได้รับเชิญจากสมัชชาประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ให้มาร่วมแลกเปลี่ยนในเวทีสัมมนาของสมัชชาฯ เป็นครั้งที่ 10 ที่ศูนย์กลางอำนาจของการจัดการประมงคือ กรมประมง
ท่ามกลางความเป็นห่วงเป็นใยของพี่น้องประมงต่อสถานการณ์หลายด้านที่ถูกไม่ว่าจะเป็นร่าง พรบ. ประมงฉบับแก้ไข ที่จะให้ทุนอุตสาหกรรมประมงกวาดล้างวิถีประมงพื้นบ้านและระบบนิเวศทางทะเลออกไปจนสิ้น
หรือปัญหาภาวะโลกเดือดที่กำลังถาโถมกระทบต่อวิถีประมงพื้นบ้านอย่างรุนแรงทั้งภูมิอากาศผันผวน ความร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพทางทะเลที่กระทบต่อนิเวศน์อาหารทางทะเล ตลอดจนการรุกคืบของโครงการคาร์บอนเครดิต และจะตามมาด้วยความหลากหลายทางชีวภาพเครดิต ที่ทั้งหมดกำลังทำให้ผลประโยชน์และอำนาจคุมทรัพยากรอยู่ภายใต้การกำกับของทุนขนาดใหญ่ และผลักภาระผลกระทบภาวะความเสี่ยงต่อโรคร้อนให้ชุมชนประมง
รวมไปถึงโครงการขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็น land bridge ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้…
ผมเอาคำตอบจากสหประชาชาติ นักนิเวศวิทยา และสถาบันการพัฒนาในระดับโลกมายืนยันว่า
ชนพื้นเมืองชุมชนท้องถิ่นประมงพื้นบ้าน คือด่านหน้าและด่านสุดท้ายของการรักษาความหลากหลายชีวภาพ ระบบนิเวศ และการเผชิญกับภาวะโลกร้อน
หากวิถีประมงพื้นบ้านล่มสลาย นั่นหมายความว่า ระบบนิเวศ ความหลากหลายชีวภาพ สภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงอาหาร เศรษฐกิจทางทะเลจะล่มสลายไปด้วย
หากโลกและรัฐจะสู้กับวิกฤตโลกเดือดคุ้มครองความหลากหลายชีวภาพ สร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน ต้องปกป้องคุ้มครองสิทธิชุมชนพื้นเมือง ชุมชนท้องถิ่น ประมงพื้นบ้าน…ให้กลับมาเข้มแข็ง
พร้อมกับดึงเอากลุ่มทุนที่ทำลายนิเวศ สร้างก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ทั้งหลายมารับผิดชอบ หยุดก๊าซเรือนกระจก หยุดทำลายธรรมชาติ ละเมิดชุมชนด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเครดิตต่าง ๆ มาชดเชย ฟอกเขียว และรับผิดชอบต่อผลกระทบของโลก ชุมชน
ทำให้สิทธิชุมชนและความเป็นธรรมทางนิเวศสังคมและภูมิอากาศให้ปรากฏขึ้นอย่างเข้มแข็ง
เราจึงจะเปลี่ยนโลกสู่ความยั่งยืน เป็นธรรม และสันติได้
และนั่นเป็นภารกิจที่ TCJA จะร่วมกับสมาพันธ์ประมงพื้นบ้าน และเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศขับเคลื่อนไปด้วยกัน







