THAI CLIMATE JUSTICE for All

Climate in All Policies: แนวทางบูรณาการเพื่อความยั่งยืนและความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ

บทนำ

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นความท้าทายระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติของชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ หรือสังคม แนวคิด Climate in All Policies (CiAP) จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อบูรณาการประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศเข้าสู่นโยบายทุกภาคส่วนอย่างครอบคลุม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืนและลดผลกระทบที่ไม่เป็นธรรมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ที่มาของ Climate in All Policies

แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Health in All Policies (HiAP) ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) พัฒนาเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีในทุกนโยบาย โดยต่อยอดให้ครอบคลุมปัญหาสภาพภูมิอากาศซึ่งเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน เช่น พลังงาน การเกษตร และคมนาคม ที่มาสำคัญได้แก่:

1. Paris Agreement (2015): กำหนดเป้าหมายให้ประเทศต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มความสามารถในการปรับตัว

2. เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs): โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 13 (Climate Action) ที่ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ

3. รายงาน IPCC: เน้นย้ำความจำเป็นของการแก้ปัญหาแบบบูรณาการในทุกภาคส่วน

องค์ประกอบสำคัญของ Climate in All Policies

1. การบูรณาการนโยบาย (Policy Integration): รวมประเด็นสภาพภูมิอากาศเข้าไปในทุกนโยบาย เช่น การใช้พลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม

2. การวิเคราะห์ผลกระทบ (Impact Assessment): ประเมินผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศจากนโยบายหรือโครงการต่าง ๆ

3. การตั้งเป้าหมายร่วม (Shared Goals): เช่น การบรรลุ Net Zero Emissions

4. การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Engagement): เปิดโอกาสให้ชุมชนและกลุ่มเปราะบางมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย

5. กลไกติดตามผล (Monitoring and Evaluation): พัฒนาระบบติดตามเพื่อปรับปรุงนโยบายให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง

ความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศใน CiAP

ความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ CiAP มีความครอบคลุม โดยคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มคนในสังคมและประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไม่เท่าเทียม

1. การลดความเหลื่อมล้ำ (Equity in Climate Policies): เช่น การจัดสรรทรัพยากรไปยังกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

2. การรับฟังเสียงของกลุ่มเปราะบาง (Inclusion of Vulnerable Groups): เช่น การให้สิทธิชุมชนพื้นเมืองในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

3. ความยุติธรรมระหว่างรุ่น (Intergenerational Equity): การพัฒนานโยบายที่ปกป้องทรัพยากรสำหรับคนรุ่นต่อไป

4. การสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา (Global Equity): ประเทศพัฒนาแล้วควรช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ตัวอย่างประเทศที่ดำเนินการ Climate in All Policies

1. ฟินแลนด์

  • การดำเนินการ: ผสานประเด็นสภาพภูมิอากาศในทุกภาคส่วน เช่น การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • ผลลัพธ์: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 43% จากระดับปี 1990

2. เยอรมนี

  • การดำเนินการ: บูรณาการการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น การส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EVs)
  • ผลลัพธ์: พลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 50% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

3. แอฟริกาใต้

  • การดำเนินการ: ดำเนินโครงการ Just Transition Framework เพื่อสนับสนุนแรงงานในภาคถ่านหิน
  • ผลลัพธ์: สร้างงานใหม่ในภาคพลังงานหมุนเวียนและลดผลกระทบต่อแรงงาน

4. บังคลาเทศ

  • การดำเนินการ: เน้นช่วยเหลือชุมชนชายฝั่งที่เสี่ยงต่อภัยน้ำท่วม
  • ผลลัพธ์: เพิ่มความยืดหยุ่นของชุมชนต่อภัยพิบัติ

ผลลัพธ์โดยรวม

1. การลดก๊าซเรือนกระจก: หลายประเทศบรรลุเป้าหมายตาม Paris Agreement

2. การเติบโตอย่างยั่งยืน: เศรษฐกิจเติบโตควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

3. ความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติ: ชุมชนและโครงสร้างพื้นฐานมีความพร้อมต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ

บทสรุป

Climate in All Policies ไม่ได้เป็นเพียงแนวทางการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สร้างความเป็นธรรมทางสังคมและส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว การบูรณาการประเด็นนี้ในทุกภาคส่วนนำไปสู่อนาคตที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมและรับประโยชน์อย่างเท่าเทียม.


อ้างอิง:

Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) Reports

Paris Agreement (2015)

UN Sustainable Development Goals (SDGs)

National Climate Policies and Case Studies

Scroll to Top