THAI CLIMATE JUSTICE for All

ความเชื่อที่ผิดๆ  เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน

เขียนโดย SERAG HEIBA
วันที่ 25 มิถุนายน 2564
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง 10 Myths About Climate Change

เมื่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นสมัยที่สองในปี 2567 ก็เกิดความหวั่นเกรงขึ้นในหมู่นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นว่าทรัมป์จะทำทุกวิถีทางเพื่อนำอเมริกาออกจากความตกลงปารีสอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ประธานาธิบดี โจ ไบเด็น ได้ลงนามยอมรับข้อตกลงในปี 2564 สิ่งแรกที่นายทรัมป์น่าจะทำเพื่อนำไปสู่การปฏิเสธความรับผิดชอบได้แก่การปฏิเสธความจริงเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน จึงตกเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องยืนหยัด ไม่หลงลืม และไม่หลงเชื่อไปกับคำกล่าวอ้างต่างๆ ที่ใช้กันอยู่บ่อยๆ เมื่อมีผู้ที่ต้องการปฏิเสธภาวะโลกร้อน อาทิเช่น

ความเชื่อที่ว่าสภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วตามธรรมชาติ

แม้ว่าส่วนหนึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง กล่าวคือสภาพภูมิอากาศโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาตินั้นมีวงจรที่เกิดขึ้นเป็นประจำ จึงสามารถทำนายการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ เช่นวงจรการเปลี่ยนแปลงของแกนโลก การหมุน วงโคจรโลก และระดับของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศตามธรรมชาตินั้นมีผลต่อสภาพอากาศอย่างไรบ้าง แต่ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง วงจรตามธรรมชาตินั้นใช้เวลาเกิดเป็นแสนๆ ปี แต่อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นและความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศโลกในปัจจุบันนั้นเกิดภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น

ความเชื่อที่ว่าอากาศนอกบ้านยังเย็นอยู่เลย ดังนั้นภาวะโลกร้อนจึงไม่ใช่เรื่องจริง

ความเข้าใจผิดเช่นนี้เกิดจากความเชื่อที่ว่าทุกแห่งหนบนโลกนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างเท่าเทียมกัน ในความเป็นจริงแล้ว ขั้วโลกทั้งสองจะมีอุณหภูมิอากาศสูงขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าภูมิภาคที่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แน่นอนว่าผู้คนในซีกโลกเหนืออาจยังรู้สึกถึงความเย็นของอากาศอยู่ แต่อุณหภูมิโลกก็กำลังเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ ปัญหาภาวะโลกร้อน ไม่ได้อยู่แค่เพียงอากาศที่ร้อนขึ้นเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มมักนิยมใช้คำว่า “ภูมิอากาศแปรปรวน” แทนคำว่า “ภาวะโลกร้อน” เพราะความหมายตรงต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมากกว่า

ความเชื่อที่ว่าดวงอาทิตย์ทำให้โลกร้อนขึ้น ไม่ใช่มนุษย์

เรื่องนี้อาจเป็นความจริงในยุค 1970 นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าที่โลกร้อนขึ้นเป็นเพราะดวงอาทิตย์ร้อนขึ้น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ในระยะเวลา 35 ปีที่ผ่านมานี้ ปริมาณรังสีของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมากระทบผิวโลกนั้นลดลง ในขณะที่อุณหภูมิของบรรยากาศโลกเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์

ความเชื่อที่ว่านักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มก็ไม่เห็นด้วยว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์

ถึงแม้คำกล่าวนี้จะไม่ผิดเสียเลยทีเดียว แต่ก็สร้างความเข้าใจผิดได้มาก สิ่งที่เกิดขึ้นจริงได้แก่ ความเห็นที่ตรงกัน 100% จากนักวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เนื่องจากคนมักมีความเห็นต่างและแรงจูงใจที่แตกต่างกันอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของภาวะโลกร้อนนั้น นักวิทยาศาสตร์ 97% มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ และข้อมูลในรายงานว่าด้วยเรื่องภาวะโลกร้อนฉบับสมบูรณ์ก็บ่งชี้ว่า ยิ่งมีการวิจัยมากขึ้นเท่าไร ผลที่ได้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นว่ามนุษย์คือสาเหตุของภาวะโลกร้อน

ความเชื่อที่ว่าพลังงานทางเลือกไม่สามารถนำมาใช้งานได้จริงเพราะขาดเสถียรภาพ

อุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกได้พัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีความก้าวหน้ามากจนสามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้เป็นปริมาณที่สูงมากและจ่ายไฟฟ้าอย่างฉลาด ดังนั้นไม่ว่าท้องฟ้าจะมีเมฆหรือไม่ หรือลมจะสงบเพียงใด อาคารก็จะมีไฟฟ้าใช้อยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น บ้านเรือนส่วนใหญ่ในประเทศอังกฤษใช้ไฟฟ้าจากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งมีการเติมพลังงานกลับเข้าไปในระบบอยู่ตลอดเวลา ทำให้พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านเรือนมีความเสถียรที่สูงมาก

ความเชื่อที่ว่าเราไม่มีทางทำอะไรกับปัญหานี้ได้นอกจากจะปล่อยไป อันที่จริงแล้ว เราสามารถทำอะไรได้มากมายเพื่อช่วยโลกของเรา วิธีการนั้นง่ายมาก คือทำอะไรก็ได้ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เรารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 1960 และข้อเท็จจริงนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คำถามก็คือว่าเราต้องลดการปล่อยก๊าซมากขนาดไหน? รายงาน IPCC ของปี 2018 ระบุว่าเราต้องบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ได้แก่การรักษาระดับอุณหภูมิโลกไว้ไม่ให้สูงขึ้นเกินกว่า 1.5 °C ซึ่งทำให้เราต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซลงประมาณ 7.6% ทุกปีไปจนถึงปี 2030

Scroll to Top