THAI CLIMATE JUSTICE for All

มาเร่งแก้วิกฤติอาหาร พลังงาน และโลกร้อนกันเถอะ

เผยแพร่โดย GRAIN
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2022
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
ภาพประกอบโดย GRAIN
อ้างอิง Getting out of the food-energy-climate crisis

“สารถึงสื่อมวลชน : โปรดอย่าเสนอข่าวว่าภาวะเงินเฟ้อขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วง 40 ปีโดยไม่บอกว่าผลกำไรของบริษัทเอกชนขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วง 70 ปีเช่นกัน คุณต้องให้ข้อเท็จจริงทั้งหมดแก่ประชาชน”

— โรเบิร์ต ทีช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของสหรัฐอเมริกา

วันที่ 11 ตุลาคม 2022 Pierre-Olivier Gourinchas ผู้จัดการฝ่ายวิจัยของ IMF เตือนว่าราคาพลังงานที่สูงมากในวันนี้จะยังไม่ลดลงในเร็ววันนี้ “วิกฤติพลังงาน” เขาเตือน “ไม่ได้เป็นคลื่นที่มาแล้วก็ไป” ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับวิกฤติอาหาร ตามที่ Gourinchas ให้ข้อสังเกตว่าราคาอาหารและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในวันนี้นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังแสดงถึงการที่บริษัทเอกชนเข้ามามีอิทธิพลเหนือผู้บริโภค แรงงาน และแม้แต่ภาครัฐ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่เราจะแก้ไขปัญหานี้ได้นั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตและขนส่งพลังงานและอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับความต้องการของบริษัทเอกชน

อาหารจากพลังงานฟอสซิล

มูลค่าของระบบอาหารโลกคิดเป็นสัดส่วนหนึ่งในสามของดีมานด์ในภาคพลังงาน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงราคาพลังงานย่อมส่งผลกระทบถึงราคาอาหารด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานฟอสซิล ถึงแม้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็ตาม ระบบอาหารของเรานั้นเสพติดพลังงานฟอสซิลมากกว่าภาคส่วนอื่น และใช้พลังงานทดแทนน้อยมาก การเสพติดเช่นนี้เกิดจากการผลิตปุ๋ยไนโตรเจนซึ่งต้องใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นปริมาณที่สูงมาก นอกจากนี้ยังใช้พลังงานฟอสซิลในกระบวนการเพาะปลูก แปรรูป บรรจุหีบห่อ และขนส่ง

ทว่าราคาอาหารและพลังงานนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคทั่วโลก ระบบฟาร์มขนาดใหญ่ในยุโรปและอเมริกาใช้พลังงานมากกว่าฟาร์มขนาดเล็กกว่าในประเทศกำลังพัฒนา ได้แก่ฟาร์มในประเทศพัฒนาแล้วต้องใช้พลังงานสูงกว่าฟาร์มในประเทศกำลังพัฒนาถึง 2.5 เท่าในการผลิตซีเรียลหนึ่งเมตริกตันเท่ากัน และใช้พลังงานต่อหน่วยพื้นที่มากกว่าถึงสามเท่า ความแตกต่างเช่นนี้ยิ่งมากกว่าเมื่อมองจากมุมมองของชาวนาเจ้าของฟาร์มในแง่ของการใช้แรงงาน หรือประมาณ 33 เท่า

ในระบบฟาร์มอุตสาหกรรมก็เช่นกัน ผลวิจัยพบว่าฟาร์มออร์แกนิกใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบฟาร์มอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเปรียบเทียบนาข้าวออร์แกนิกกับนาข้าวแบบดั้งเดิมในฟิลิปปินส์พบว่านาข้าวออร์แกนิกมีประสิทธิภาพสูงกว่าถึง 63% เท่า ความแตกต่างนี้เองอธิบายว่าเพราะเหตุใดระบบอาหารอุตสาหกรรมของสหรัฐฯจึงใช้พลังงานเท่ากับแอฟริกาทั้งทวีป

ความกระหายพลังงาน

ระบบอาหารของยุโรปก็พึ่งพาพลังงานฟอสซิลมากพอ ๆ  กับระบบอาหารของอเมริกา พลังงานหนึ่งในสี่ของปริมาณทั้งหมดถูกใช้ไปเพื่อการเพาะปลูก แปรรูป บรรจุหีบห่อ และขนส่งในภาคเกษตร หากปราศจากแหล่งพลังงานปริมาณมากในราคาต่ำ ระบบอาหารของยุโรปจะเกิดปัญหาแน่นอน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมสงครามในยูเครนจึงเป็นหายนะของระบบอุตสาหกรรมอาหารในยุโรป หากปราศจากก๊าซธรรมชาติราคาถูก บริษัทเพื่อการเกษตรต่าง ๆ  ก็จะไม่สามารถเดินเครื่องจักรที่ใช้ผลิตปุ๋ยไนโตรเจนได้ และโรงเพาะกล้าไม้ก็จะไม่มีพลังงานที่ทำให้กล้าไม้อบอุ่น ฤดูหนาวนี้ครัวเรือนในยุโรปต้องเลือกระหว่างบ้านที่อบอุ่นหรือการมีอาหารที่เพียงพอ เพราะทั้งราคาอาหารและพลังงานเพิ่มสูงขึ้นจนเกินกว่าที่จะหาซื้อได้ทั้งสองอย่าง และผู้เชี่ยวชาญก็ทำนายว่าสถานการณ์เช่นนี้จะทวีความรุนแรงขึ้นในปีหน้า

เวลาเช่นนี้ควรเป็นเวลาที่รัฐบาลและประชาชนชาวยุโรปทบทวนพฤติกรรมการบริโภคพลังงานและการพึ่งพาแต่ระบบอาหารที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานฟอสซิลของตน แต่ทั้งภาครัฐและเอกชนกลับเปลี่ยนเป้าหมายการล่าพลังงานไปยังภูมิภาคอื่น ๆ  โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ชนท้องถิ่นหรือสิ่งแวดล้อมในประเทศนั้นจะได้รับ เราจะเห็นได้ว่าเกิดโครงการขุดเจาะพลังงาน การสร้างท่าเรือ การเซ็นสัญญาซื้อขาย และการลงทุนในเอเชียและแอฟริกาเป็นจำนวนมาก EU ได้ลงทุนไปแล้วกว่า 50 ล้านยูโรหลังจากที่สงครามในยูเครนปะทุขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเพื่อแสวงหาแหล่งก๊าซธรรมชาติ (LNG) ในประเทศสหรัฐอเมริกา กาตาร์ เซเนกัล อัลจีเรีย อียิปต์ คองโก โมซัมบิค และแทนซาเนียเพื่อทดแทนก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย ในเวลานี้ บริษัทพลังงานสัญชาติฝรั่งเศส Total กำลังก่อสร้างท่อส่งน้ำมันสาขาแอฟริกาตะวันออกในอูกานดาและแทนซาเนียเพื่อส่งน้ำมันให้ยุโรป นอกจากนี้ EU ยังลงทุนมูลค่ามหาศาลด้านบริการรักษาความปลอดภัยในโมซัมบิคเพื่อปกป้องผลประโยชน์ด้านพลังงานของตน ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จะไม่หยุดลงถ้าสงครามในยูเครนสิ้นสุดลง เพราะยังมีโครงการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ (LNG) ในระยะยาวอีกถึง 20 โครงการกำลังอยู่ในขั้นตอนการวางแผนก่อสร้างโดย EU นอกจากนี้ยุโรปยังซื้อพลังงานจากเอเชียอีกด้วย ได้แก่ถ่านหินจากอินโดนีเซียและ LNG จากมาเลเซีย ทำให้ราคาพลังงานท้องถิ่นเพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับชุมชนในปากีสถานและบังคลาเทศทีเคยประสบปัญหาขาดแคลนพลังงานเมื่อประเทศขายก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ที่ผลิตได้ให้ยุโรป แนวโน้มการใช้พลังงานที่ผิดพลาดเช่นนี้ทำให้อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นอีก 2.5ºC ภายในปี 2100 การผลิตพลังงานฟอสซิลเพิ่มมากขึ้นยิ่งทำให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลย้อนไปสู่กระบวนการผลิตอาหาร ได้แก่การเกิดภัยแล้ง อุทกภัย พายุ และอากาศที่ร้อนจัดจนทำให้สุขภาวะของแรงงานภาคเกษตรตกต่ำ เราไม่สามารถแก้วิกฤติพลังงานหรือวิกฤติอาหารได้ด้วยการใช้มาตรการที่ทำให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นไปอีก เพราะวิกฤติสามด้านนี้สัมพันธ์กันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้

หนทางเพื่อการหลีกเลี่ยงพหุวิกฤติ

ในปีนี้มีการชุมนุมประท้วงราคาพลังงานและอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก เกิดการเคลื่อนตัวของมวลชนครั้งใหญ่ที่มุ่งเป้าไปยังรัฐบาลในศรีลังกา เซียร์ร่า ลีโอน เอกวาดอร์ และกาห์น่า ในหลาย ๆ  ประเทศก็พบว่าราคาเวชภัณฑ์ ที่อยู่อาศัย และสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ  ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจเช่นกัน ผู้คนกำลังพูดถึง “พหุวิกฤติ” ซึ่งหมายถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการทำลายล้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในภาคประชาสังคมขึ้นเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่

ประการแรก ผู้คนตระหนักดีว่าภาคธุรกิจมีส่วนสำคัญที่ทำให้ราคาสินค้าจำเป็นเพิ่มสูงขึ้นดังที่กล่าวมา และรู้ดีว่าบริษัทเหล่านี้แสวงหาผลประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อด้วยการขึ้นราคาสินค้าเกินกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ในสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าผลกำไรภาคธุรกิจคิดเป็นประมาณ 11% ของราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 40 ปี คือระหว่างปี 1979-2019 แต่ในช่วง 2020-2022 นั้นเพิ่มสูงขึ้นถึง 53.9% ซึ่งผลกำไรส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคอาหาร ได้แก่สินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหาร ส่วนในประเทศแคนาดานั้น รัฐบาลกำลังดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ในขณะที่ยุโรปและออสเตรเลียก็พบว่าราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างไม่เป็นธรรมเช่นกัน

หลายประเทศเริ่มพูดถึงการออกมาตรการทางภาษีต่อธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่เพียงธุรกิจพลังงานที่ทำกำไรจากอุปทานที่ถูกจำกัดด้วยสงครามในยูเครนเท่านั้น แต่ยังมีภาคธนาคาร เกษตร และค้าปลีก ซึ่งเพิ่งประกาศผลกำไรมูลค่ามหาศาลไปในปีนี้ ซึ่งทำให้มาตรการทางภาษีนั้นยิ่งสมเหตุผลขึ้น อีกมาตรการหนึ่งที่เป็นไปได้ในการต่อกรกับภาวะเงินเฟ้อเพื่อให้ทรัพยากรกระจายตัวได้ดีขึ้นได้แก่การเก็บภาษีคนร่ำรวยครั้งเดียว (One-off Wealth Tax) นอกจากนี้ยังมีมาตรการกำหนดเพดานราคาอาหารและพลังงานเพื่อช่วยผู้บริโภคในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวนั้นก็มีมาตรการควบคุมจากภาครัฐสำหรับภาคพลังงานและอาหารเช่น Municipalisation หรือรูปแบบใหม่ของเครือบริษัท ได้แก่การใช้กลไกทางสังคมเพื่อควบคุมภาคพลังงานและอาหารโดยตั้งบริษัทที่ปวงชนบริหารจัดการและเป็นเจ้าของ ตัวอย่างเช่นในบางประเทศก็กำลังขยายความครอบคลุมของระบบประกันสังคมจากเดิมที่ครอบคุลมเรื่องการรักษาพยาบาลและกองทุนเกษียณอายุให้ครอบคลุมเรื่องอาหารด้วย โดยแนวคิดได้แก่หักเงินเดือนของลูกจ้างในระบบเพื่อนำมาเป็นสวัสดิการค่าอาหารแก่ประชาชนทุกคน โดยแต่ละชุมชนจะเป็นผู้กำหนดรายการวัตถุดิบและแหล่งที่มาด้วยตนเอง

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งได้แก่การให้ความสำคัญแก่การประหยัดพลังงานเป็นอันดับต้น ๆ   และไม่กระทำการใด ๆ  เพื่อก่อให้เกิดการบริโภคพลังงานเพิ่มเติมจากที่เป็นอยู่ ในหลายประเทศการปรับปรุงบ้านให้ป้องกันความร้อน/หนาวเย็นได้เป็นเรื่องที่มาเป็นอันดับแรก ซึ่งทำให้เกิดการจ้างงานในชุมชนขึ้นอีกมาก ในภาคการผลิตอาหารก็เช่นกัน ประชาชนมุ่งมั่นที่จะลดของเหลือทิ้ง เพราะยิ่งผลิตอาหารมาก ยิ่งใช้พลังงานมากและทำให้เกิดภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ยังตกลงใจที่จะไม่บริโภคอาหารอย่างเนื้อสัตว์และนมจนเกินความจำเป็น และสนับสนุนการผลิตอาหารที่กระจายตัวจากศูนย์กลางสู่ชุมชน ที่ซึ่งผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภคคือคนกลุ่มเดียวกัน เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้มากหากเราร่วมมือกัน เราจะต้องหยุดการบริโภคพลังงานฟอสซิลและสนับสนุนระบบอาหารชุมชน ซึ่งหมายถึงสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยและตลาดชุมชนเพื่อทลายอิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย

Scroll to Top