
เขียนโดย Disha Shetty
วันที่ 1 ธันวาคม 2024
แปลและเรียบเรียงโดย ปิโยรส ปานยงค์
อ้างอิง Love For Future Generations Motivates People to Support Climate Action
รายงานจากความร่วมมือระหว่างสถาบัน Yale Program on Climate Change Communication, philanthropies Meliore Foundation และ Zero Ideas ที่ทำการวิจัยใน 23 ประเทศทั่วโลกกับกลุ่มตัวอย่างกว่า 58,000 พบว่าประชาชนในประเทศสนับสนุนให้รัฐบาลของตนในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนอย่างล้นหลาม กว่าร้อยละ 77 ให้ความเห็นว่ารัฐบาลจำเป็นจะต้องลงมือทำทุกอย่างที่จะทำได้เพื่อลดผลกระทบ มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย
World Meteorological Organization (WMO) รายงานว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยได้รับการบันทึกไว้ นอกจากนั้นอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกยังเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.45° C เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย 1.5° C ที่ตั้งไว้ในความตกลงปารีสในปี 2015 เพียงเล็กน้อย
ในสัปดาห์หน้า ผู้นำโลกจะประชุมกันที่เมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อหารือถึงสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่นับวันจะมีแต่ทวีความรุนแรงขึ้น
“เราไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เราได้ลงมือดำเนินการแก้ไขปัญหาไปหลายอย่างแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ เราต้องทำมากกว่านี้และเร่งด่วนกว่านี้ เราต้องลดก๊าซเรือนกระจกลงให้มากกว่านี้และเร็วกว่านี้ และเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่พลังงานสะอาด” นาย Celeste Saulo เลขาธิการ WMO คนใหม่ให้สัมภาษณ์
การที่จะแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างได้ผล ประชาคมโลกจะต้องมีมติเห็นพ้องต้องกัน และจากรายงานของ Yale Program on Climate Change Communication, philanthropies Meliore Foundation และ Zero Ideas นั้น เรามีมติดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
ผู้คนให้ความสนใจต่อการปกป้องคนรุ่นถัดไปมากที่สุด
ผลการวิจัยบ่งชี้ว่า ผู้คนไม้ได้ต้องการตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่กำลังเป็นห่วงเป็นใยต่อความเป็นอยู่ของคนรุ่นถัดไปที่จะได้รับผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน โดยมีผู้ที่ตอบว่ากังวลเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนมีจำนวนมากกว่าผู้ที่ตอบว่ากังวลต่อการจ้างงานถึง 12 เท่า
“กลุ่มตัวอย่างในทุกประเทศที่ทำการศึกษาตอบว่า ‘การผัดผ่อนเรื่องลดก๊าซเรือนกระจกแม้แต่วันเดียวก็สายเกินไป’ ซึ่งได้คะแนนเหนือกว่าการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ สุขภาวะ หรือแม้แต่การป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ” ข้อมูลจากงานวิจัยระบุ
“เมื่อใดก็ตามที่เราพูดเกี่ยวกับความเร่งด่วนของปัญหาที่ต้องแก้ไขเพื่อลูกหลานของเรา ผู้คนจะมีอารมณ์ร่วมด้วยเป็นอย่างมาก” Jessica Lu ผู้จัดการอาวุโสของ Potential Energy Coalition กล่าว “เท่าที่ผ่านมาเราเห็นว่าข้อความนี้เป็นข้อความที่ทรงพลังที่สุดในการรณรงค์แก้ไขปัญหาโลกร้อน การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญมากที่สุดคือความรักที่มีต่อลูกหลานและปกป้องสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่มั่งคงปลอดภัยแก่พวกเขา” ถ้าเรามีสารที่ถูกต้อง เราจะสามารถสร้างแนวร่วมของผู้คนจากทุกช่วงวัย เพศ ประเทศ และค่านิยมทางการเมืองได้
ความผิดปกติของอเมริกา
ผู้คนที่สนับสนุนการแก้ปัญหาโลกร้อนส่วนใหญ่มักมาจากประเทศกำลังพัฒนา และส่วนน้อยกว่าที่มาจากประเทศพัฒนาแล้วที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อประชากรที่สูงกว่า ยกตัวอย่างเช่นชาวอเมริกันที่เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงร้อยละ 25 สนับสนุนการแก้ปัญหาโลกร้อนน้อยที่สุด ในทางตรงกันข้าม ชาวชิลีและเคนยาที่มีความเปราะบางต่อภาวะโลกร้อนมากที่สุดจะสนับสนุนการแก้ปัญหาโลกร้อนมากที่สุดด้วย นอกจากนี้ยังบ่งชี้ว่าสารที่ออกแบบมาอย่างถูกต้องจะส่งผลต่อการสนับสนุนของผู้คนอย่างมีนัยสำคัญ
“สารที่มีคำว่า “จำเป็น” “ห้าม” หรือ “ลด” ได้คะแนนการสนับสนุนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 9 คะแนน (ในบางกรณีอาจต่ำลงถึง 20 คะแนน) ในขณะที่สารที่ประกอบไปด้วยคำว่า “พัฒนา” “กำหนดมาตรฐาน” “การแก้ปัญหาที่เข้าถึงได้ง่าย” หรือ “ลดการพึ่งพา” จะได้คะแนนที่สูงกว่ามาก” รายงานระบุ
การกระตุ้นให้สังคมเกิดความวิตกกังวลเป็นเรื่องที่รับได้
ในสองสามปีที่ผ่านมา การรายงานข่าวเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก มีรายงานเกี่ยวกับเยาวชนที่กลัวอนาคตจนต้องเข้ารับการบำบัดกับจิตแพทย์ที่พบว่ามีเคสเกี่ยวกับความกังวลเรื่องภาวะโลกร้อนเพิ่มสูงขึ้น
John Marshall ซึ่งเป็น CEO และผู้ก่อตั้ง Potential Energy Coalition กล่าวว่าสารที่เรียบง่ายที่บอกผู้คนว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่เราควรต้องกังวลนั้น เป็นสารที่มีประสิทธิภาพที่สุด “การทำให้สังคมเกิดความกังวลเป็นเรื่องที่รับได้ อันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องด้วยซ้ำเพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน ดังนั้นเราจึงควรเดินไปหาพวกเขา คุยกับเขาเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับความเสี่ยง และแนะนำทางแก้ไข ซึ่งมีประสิทธิภาพกว่าการนำเสนอไอเดียสุดบรรเจิดเกี่ยวกับการทำมาหากินหรือทำอย่างไรถึงจะรวยเสียอีก” นาย Marshall สรุป